ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : STAR TREK INTO DARKNESS

Review : STAR TREK INTO DARKNESS [Movie 2013]
Score : 8.2/10

"ยกระดับฉาก Action ขึ้นจากภาคแรกไปอีกขั้น 
Benedict เป็นวายร้ายที่เหนือชั้น แต่เนื้อเรื่องย่ำอยู่กับที่มากไปนิดนึง"


เรื่องย่อ : กัปตันเคิร์กและลูกเรือยานเอ็นเตอร์ไพร์ซ การเผชิญหน้ากับบุรุษผู้เป็นอาวุธมหาประลัยในการทำลายล้างโลกและจักรวาล หนึ่งในเจ้าหน้าที่ชั้นยอดของสตาร์ฟลีท การก้าวสู่ยุคมืดของสมาพันธ์แห่งความยุติธรรม ที่เหล่าลูกเหลือเอ็นเตอร์ไพร์สจะต้องหยุดยั้งมันให้ได้

- ด้านเนื้อเรื่อง ก็ถือว่ายังคงอยู่กับการล้างแค้นเหมือนเดิมเช่นเดียวกับภาคแรก แต่ว่า ในภาคนี้กลับเกิดขึ้นภายในสตาร์ฟลีท (สหพันธ์ดวงดาว) กันซะเอง ซึ่งถือว่ามีความน่าสนใจอยู่ ที่กลายเป็นว่าคนภายในกลับเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องราว ซึ่งกัปตันเคิร์กและลูกเรือเอ็นเตอร์ไพร์ซ ก็ต้องมารับลูกหลงโดยไม่รู้ตัว จากเหตุการณ์ภายในองค์กรที่เกิดขึ้น

- ตัวละครหลัก "กัปตัน Kirk, Khan & นายพล Alexander Marcus" ทั้ง 3 คนที่ต่างเป็นผู้นำ เราจะได้เห็นมุมมองความคิดของผู้นำในแต่ล่ะคนว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่สำคัญที่จะต้องตัดสินใจ แต่ล่ะคนเลือกที่จะทำอย่างไร ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล, เลือกที่จะทำตามคำสั่ง หรือคิดไตร่ตรองหาทางออกที่ดีที่สุดแล้วค่อยตัดสินใจ ซึ่งสิ่งที่ตัวละครตัดสินใจ แม้มันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับมุมมองของเขา แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสายตาของคนอื่นก็ได้

- มุมมองของนายพล Alexander Marcus ต้องการที่จะทำทุกอย่างเพื่อเตรียมพร้อมเอาไว้ในอนาคต เผื่อว่า สหพันธ์ดวงดาวต้องต่อสู้กับชาวคลิงออนที่เป็นศัตรู จึงได้ตัดสินใจปลุก Khan ขึ้นมาให้ช่วยสร้างอาวุธในการเตรียมพร้อมรับศึกในอนาคต แต่ว่า พอควบคุม Khan ไม่ได้ เขาจึงคิดที่จะกำจัดสิ่งที่เป็นภัย รวมไปถึงชาวดาวคลิงออนด้วย เรื่องการเตรียมพร้อมก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่พอเริ่มกลายเป็นล้ำเส้นมากเกิน จนคิดที่จะตัดไฟแต่ต้นลมโดยการทำลายชาวคลิงออนก่อนก็นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูก แม้จะขัดแย้งกัน แต่เขายังไม่ได้ทำอะไร จะลงไม้ลงมือก่อนได้ยังไง

- Khan การตัดสินใจทุกอย่างในเรื่อง หลักๆ จะเป็นการตัดสินใจเพื่อช่วยลูกเรือของเขาก่อน และพอช่วยเสร็จก็จะกลับไปทำภารกิจที่ตนได้มอบหมายมาเมื่อ 300 ปีก่อน การตัดสินใจทุกอย่างของตัวละครนี้ ก็เพื่อช่วยสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อตน นั่นคือลูกเรือที่เป็นเสมือนครอบครัว และปฎิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่ได้สนใจว่าจะต้องเสียอะไรไป หรือมีอะไรเกิดขึ้นตามมา เป็นตัวละครที่น่าสงสาร, โหดเหี้ยมและเลือดเย็นในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องยอมรับว่า Benedict แสดงออกมาได้ดีมาก ฉลาดและแกมโกงสุดๆ ดูแล้วเป็นตัวละครที่มีความสมบูรณ์และเหนือชั้นในทุกด้านจริงๆ ครับ...

- ส่วนกัปตัน Kirk ที่เข้ามาโดนลูกหลงจากการกระทำของทั้ง 2 ตัวละคร ช่วงแรกลักษณะเป็นเหมือนกับ Spock ในภาคแรกหลังจากที่สูญเสียดาววัลแคนไป อารมณ์ไม่มั่นคง เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียวคือล้างแค้น แต่พอตัวละครได้เริ่มรู้เรื่องราวมากขึ้น ก็เริ่มมีการเปลี่ยนมุมมอง จากใช้อารมณ์มาตัดสิน เริ่มคิดและไตร่ตรองมากขึ้น เรียกได้ว่า เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมาจากภาคแรกเลยทีเดียว

- ตัวละครอื่นๆ ในเรื่องทั้ง Spock, Bones, Scotty, Chekov และที่ไม่ได้กล่าวถึง ต่างก็มีพัฒนาการมากขึ้นจากภาคแรกไม่น้อยไปกว่า Kirk แต่ถ้าเห็นชัดสุดก็คงจะเป็น Spock ที่เริ่มปรับตัว เปลี่ยนนิสัยเข้ากับมนุษย์มากขึ้น เริ่มลดหย่อนกฎเกณฑ์ที่ต้องยึดและปฎิบัติตาม

- ขอย้อนกลับมาที่เนื้อเรื่องสักนิดนึงนะครับ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะย่ำอยู่กับที่ อยู่กันบนตัวยานและอวกาศมากกว่า ก็เข้าใจว่ายานพังจะให้ทำยังไง? แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คือฉาก Action ใหญ่ๆ ด้วยกันทั้งหมด 5 ฉาก ที่สนุกและตื่นเต้น ไม่แพ้ภาคแรกเลยที่เดียว ถ้าไม่มีตรงนี้มา ก็คงพูดกันทั้งเรื่องจนจะหลับกันได้เลย

- CG ในภาคนี้ ก็ยังคงเก็บรายละเอียดได้ดีเช่นเคย โดยเฉพาะฉาก "Ship to Ship" ที่ต้องข้ามจากยาน U.S.S. Enterprise ไปยัง U.S.S. Vengeance เป็นฉากที่เจ๋งมาก ต้องข้ามชิ้นส่วนของยาน เพื่อเข้าไปยังช่องทิ้งขยะที่มีประตูเล็กนิดเดียว ฉากนี้ถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ซึ่งถ้าได้ดูในโรงคิดว่าคุ้มแน่นอนครับ อีกฉากนึงที่ชอบเลยก็เป็นฉากตอนวาร์ปที่ครั้งนี้ได้เห็นตอนที่กำลังวาร์ปมากขึ้นจากภาคแรก และตอนวาร์ปก็มีทิ้งเหมือนประกายแสงเอาไว้ด้วย ซึ่งสวยมากแอบชอบเป็นการส่วนตัวจริงๆ...

- เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ยังคงประพันธ์โดย "Michael Giacchino" เช่นเดิม ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก ภาคแรกทำเพลงประกอบไว้ติดหู ภาคนี้ก็เช่นกัน แต่รู้สึกจะดรอปลงมาจากภาคแรกนิดนึง ในความรู้สึกส่วนตัวนะครับ

โดยรวมก็ถือว่า ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่สนุกและตื่นเต้นเช่นเคย แต่ดูหลุดออกจากความเป็น "STAR TREK" ไปหน่อย จากที่ได้อ่านมา เห็นว่า แฟนๆ เทรคกี้ต่างก็ไม่ชอบและโหวดให้เป็นภาคที่แย่ที่สุดด้วย เพราะ Action เกือบทั้งเรื่องเลย

แต่ส่วนตัวมองว่า เนื้อเรื่องมันดูย่ำกับที่มากไปนิดนึงเท่านั้นเองครับ เมื่อเทียบกับภาคแรกที่ยังไปหลายที่มากกว่านี้หน่อยนึง แต่ยังไงก็ยังถืว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุกและมอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม โดยเฉพาะคอหนัง Action ถือว่า "STAR TREK INTO DARKNESS" เป็นภาพยนตร์ที่ตอบโจทย์มาก

หลังจากที่ "STAR TREK INTO DARKNESS" จะหนักไปทางด้าน Action ซะมากกว่า การสำรวจและสังเกตดวงดาวต่างๆ ใน Galaxy ภาพยนตร์ภาคต่อไป "STAR TREK BEYOND" ก็เตรียมเล่าเหตุการณ์ต่อจากตอนจบของ "INTO DARKNESS" ที่เหล่าลูกเรือจะเดินทางทำภารกิจสำรวจอวกาศกันจริงๆ จังๆ สักที ใครที่เป็นแฟน "STAR TREK" ก็เตรียมตัวรอรับชมภาพยนตร์ภาคใหม่นี้กันได้เลยครับ

Review By : T.J. @ T.J. MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา