ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : The BFG

Review : The BFG
Score : 7/10

"หนังแฟนตาซีสไตล์ Spielberg ผสมผสานความน่ากลัวและน่ารักออกมาได้เป็นอย่างดี
งานภาพคือดี สวยกว่าที่คาดไว้ซะอีก"


เรื่องย่อ : The BFG ถึงแม้เขาจะเป็นยักษ์ แต่ก็เป็นยักษ์ที่เป็นมิตร และไม่มีอะไรเหมือนยักษ์ตนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในเมืองยักษ์ เจ้าของร่างยักษ์ 24 ฟุต ผู้มีหูขนาดมหึมาและประสาทรับกลิ่นเป็นเยี่ยม เป็นยักษ์ทึ่มผู้น่ารักและมักจะอยู่ตามลำพังเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากบลัดบอทเทลอร์ - ยักษ์กระหายเลือด และเฟลชลัมป์อีตเตอร์ – ยักษ์กินคนที่ตัวใหญ่กว่า 2 เท่า และโหดร้ายกว่า 2 เท่า และยังขึ้นชื่อเรื่องกินคนอีกด้วย ในขณะที่ BFG ชอบกินสโนซคัมเบอร์และฟรอปสก็อตเทิล เมื่อ Sophie เด็กสาวจากกรุง London วัย 10 ขวบ ที่ดูฉลาดเกินวัย ได้เดินทางมาถึงเมืองยักษ์ครั้งแรก เธอหวาดกลัวยักษ์ผู้ลึกลับที่นำเธอมายังถ้ำของเขา แต่ต่อมาก็ได้รู้ว่า BFG จริงๆแล้วเป็นคนสุภาพและน่ารัก และเธอก็ไม่เคยเห็นยักษ์มาก่อน และก็มีคำถามมากมาย BFG  ได้พา Sophie ไปยังเมืองแห่งความฝัน ที่ๆเขาเก็บสะสมความฝันและส่งมันไปสู่เด็กๆ ได้สอนให้เธอรู้เกี่ยวกับความมหัศจรรย์และความลับแห่งความฝัน

- เนื้อเรื่อง หลักๆ จะเป็นการบอกให้เราอย่าไปกลัวที่จะต่อสู้กับสิ่งที่ใหญ่เกินตัวเรา หากเรากล้าที่จะสู้ความฝันก็จะไม่ใช่แค่ฝัน และเป็นหนังมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างความแตกต่างที่ไม่น่าจะยอมรับกันได้ แต่ก็ยอมรับกันได้ในท้ายที่สุด มีฝังความฝันด้วย แต่เป็นการฝังแบบระยะสั้น คล้ายๆ กับ "Inception" แต่อันนั้นเป็นการฝังความคิด

เดินเรื่องช้าตามสไตล์หนังเด็กจริงๆ ครับ ถ้าเป็นเด็กดูจะชอบแน่นอน แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็(อาจจะ)หลับได้แน่นอน สลับกัน ดีที่มีมุกตลกแทรกเข้ามาในเรื่องเรื่อยๆ เลยทำให้นั่งดูได้โดยไม่หลับ และมีจัดเต็มมุกตลกชุดใหญ่ชุดนึงด้วย นั่งฮากันท้องแข็งเลย

งานภาพมีสีสันมากและเก็บรายละเอียดดีมาก แฟนตาซีแบบออกแนวหลุดยุคไปเลย ดูปล้วเป็นหนังที่เหมือนฉายผิดยุคไปด้วย แต่ชอบตรงที่ได้เห็นงานภาพที่แปลกตาดี ขนาดสิ่งก่อสร้าง, สิ่งของเครื่องใช้ ใหญ่จนรู้สึกเหมือนเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มองอะไรก็ใหญ่ไปหมด ดูน่าตื่นตาตื่นใจดี

ตัวละครยักษ์ BFG ยอมรับว่า ตอนดูตัวอย่าง กลัวมาก ไม่ชอบเลย แต่พอมาดูในเรื่องจริงๆ แรกๆ ก็น่ากลัวอยู่ แต่เนื้อเรื่องที่ค่อยๆ เล่าไปเรื่อยๆ ก็ทำให้เปลี่ยนความคิดจากตอนแรกกลัว กลายเป็นเริ่มชอบขึ้นมาเรื่อยๆ แถมงานภาพก็เก็บรายละเอียดได้ดีมาก ตอนอยู่ฉากเดียวกับ มนุษย์ ก็ยังดูออกบ้างว่าเป็นภาพกราฟฟิค แต่คือดีกว่า "Warcraft" ดูกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับฉากจริงๆ เลย

ส่วนยักษ์อีก 7 ตัว ก็โอเคเก็บรายละเอียดงานได้ดี ตัวหัวโจก(ขออภัยลืมชื่อจริงๆ) นึกว่า ออร์ค ดูคล้ายๆ กันมาก เหมือนเป็นพี่น้องที่พลัดพรากหลุดมาอีกเรื่องแบบไม่ได้ตั้งใจ (ฮา)

เพลงประกอบที่ประพันธ์โดย "John Williams" ทำให้เรื่องราวดูลึกลับ มีมิติ ชวนพิศวงและน่ากลัวมากขึ้น กับสิ่งที่เราไม่เห็น แต่ก็ทำให้เรื่องราวสนุกสนานขึ้นด้วยเช่นกัน

- "Ruby Barnhill" นักแสดงสาวน้อยวัย 12 ปี ผู้รับบทเป็น "Sophie" สาวแว่นตัวละครเอกของเรื่อง ผู้ไม่เคยกลัวอะไรทั้งสิ้น ก็ถือว่าเล่นได้โอเคเลยครับ เก่งพอๆ กับ "Neel Sethi" จาก "The Jungle Book" เลย แถมทั้งคู่ก็เล่นหนังใหญ่เป็นเรื่องแรก แจ้งเกิดกับวงการแสดงด้วยเช่นเดียวกัน แถมทั้ง 2 ก็อายุไล่เรื่ยกันอีกต่างหากครับ (ปีนี้ดาราเด็กแจ้งเกิดกันแบบจริงจัง รวมถึง "Angourie Rice" จาก "The Nice Guys" ด้วย)

โดยรวมเป็นภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตามสไตล์ Spielberg ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูแล้วหลับแน่นอน แต่งานภาพคือดีมาก ได้เห็นอะไรแปลกใหม่ดีครับ

Review By : T.J. @ T.J.MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา