ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : Batman v Superman - Dawn of Justice : Ultimate Edition

Review : Batman v Superman - Dawn of Justice : Ultimate Edition
Score : 7.8/10

"ดีขึ้น ลงตัวมากขึ้น อาจจะไม่ดีสมการรอคอยตลอด 3 ปี
แต่ก็ดีขึ้นกว่าฉบับที่ฉายในโรงภาพยนตร์"


เรื่องย่อ : ด้วยความกลัวในการกระทำของซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นดั่งเทพเจ้า นักปราบอธรรมผู้ทรงอำนาจและน่ากลัวแห่งเมืองก็อตแธมจึงได้เผชิญหน้ากับพระเจ้าในยุคใหม่ที่น่าเคารพบูชาที่สุดของเมืองเมโทรโปลิส ขณะที่โลกก็กำลังถกเถียงกันว่าฮีโร่แบบไหนกันแน่ที่โลกกำลังต้องการจริงๆ และขณะที่แบทแมนกับซูเปอร์แมนกำลังรบกันเองอยู่นั้น ภัยคุกคามใหม่ก็ได้ผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ทำให้มวลมนุษยชาติต้องตกอยู่ในอันตรายกว่าที่เคยเป็นมาก่อน


*Review มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน ถ้ายังไม่ได้รับชม อย่าพึ่งเลื่อนลงมาอ่านนะครับ

- ด้านเนื้อเรื่อง โดยรวมดูแล้ว มีความลงตัวมากขึ้น ดูลื่นไหลมากขึ้น ต่างจากฉบับโรงที่ตัดไปตัดมาจนรู้สึกว่า ตัดน่าเกลียดเกินไปไหม? เนื้อหาโดยรวมเข้าใจกว่าฉบับโรงภาพยนตร์มากขึ้น ขยายความในส่วนที่ถูกตัดไปได้ดี แต่ช่วงท้ายของเรื่องก็ยังคงเหมือนเดิม...

- รายละเอียดหลักๆ ที่เนื้อเรื่องต้องการจะสื่อเลยก็คือ "ความยุติธรรมคืออะไร? และโลกนี้ยังมีคนดีอยู่หรือไม่?" สิ่งที่ Superman ทำ, สิ่งที่ Batman ทำ เป็นสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมได้รึเปล่า? ดูจบแล้วก็ต้องออกมานั่งคิดกันต่อกันอีกนิดนึง...

- ซึ่งตัวเรื่องก็พูดตรงๆ อยู่ในบางจุด แต่ก็ไม่ตลอดทั้งเรื่อง โดยผ่านการกระทำของตัวละครทั้ง 2 ที่ Batman ได้ตีตราคนไม่ดี ซึ่งเขาอาจจะถูกบังคับให้ทำโดยไม่ได้ตั้งใจ แบบนี้เรียกว่า มันถูกหรือไม่สำหรับการตัดสินเพียงฝ่ายเดียว?


- ส่วนของทาง Superman คือการโดนป้ายสีว่าเขาฆ่าผู้คนในทะเลทราย รวมถึงรัฐสภาที่ถูกระเบิด Superman มีพลัง แต่ทำไมไม่ช่วยคนที่บริสุทธิ์เหล่านั้น และอีกหลายประเด็นที่ทำให้ Superman พูดออกมาว่า "โลกนี้คนดีอยู่ไม่ได้ มันเป็นเพียงแค่ความฝันของเด็กชาวไร่คนหนึ่ง" เป็นการสื่อเปรยๆ ว่า การทำดีคนเรากลับมองข้าม แต่พอเราพลาดทำผิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง คนจำได้ซะยิ่งกว่า คนที่เป็นคนดีไม่เคยจะถูกเหลียวแล เหมือนเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ที่อยู่ในสังคม โดยไม่มีใครมองเห็น

"Save Martha." ที่เป็นประเด็นกันมาก รวมไปถึง Superman ก็มีพลัง ทำไมไม่ไปช่วยซะเองล่ะ จะมาตีกับ Batman ทำไม? ตามหลักง่ายๆ เลย เมื่อมนุษย์ถูกกดดันจนถึงขีดสุดที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป เราก็จะเชื่อในจิตใต้สำนึกเรา หรือไม่ก็ทำตามในสิ่งที่คนอื่นบอกกันได้ง่ายๆ

แล้วทำไม? ต้องพูดว่า "Martha" พูดคำอื่นแทนไม่ได้เหรอ? มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความทรงจำของมนุษย์ ซึ่งนักจิตวิทยาเชิงประชานชาวอเมริกัน ศ. จอร์จ มิลเล่อร์ ทำการทดลองที่แสดงว่า ขนาดความจำระยะสั้นอยู่ที่ 7±2 ชิ้น (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://th.wikipedia.org/wiki/ความจำ) ในหนัง "Lex" ก็ได้พูดถึง "Martha" ด้วยกันทั้งหมด 7 ครั้งพอดิบพอดี ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม? Superman ถึงพูดชื่อขึ้นมา แทนที่จะพูด "Save her. หรือ Save my mom." เป็นต้น แต่อันนี้ก็เป็นการสันนิษฐานส่วนตัวนะครับ สามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ แต่อย่าดราม่ากันนะครับ


- ตัวละคร "The Flash, Aquaman & Cyborg" ที่เป็นส่วนหนึ่งของทีม "Justice League" ซึ่งมาแจมใน "Batman v Superman" ก่อนจะได้ไปโชว์ของกันปลายปีหน้า หลังจากที่ดูฉบับนี้ ส่วนตัวรู้สึกว่า หนังพยายามยัดเยียดเข้ามา แทบจะไม่ได้เป็นการปูทางอะไรเลย

ฉาก "Nightmare Batman" ไม่ต้องใส่เข้ามาก็ได้ แทบไม่ได้มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่องเลย แต่ถ้าเป็นการใส่ที่เตรียมไว้รอเล่นอะไรในอนาคต ก็ถือว่าโอเคอยู่ครับ

"Lex Luthor" คือที่สุดของที่สุดแห่งวายร้ายในขณะนี้แล้วจริงๆ หลังจากที่ได้ดู "Ultimate Edition" ก็รู้สึกได้ถึงความเลวยิ่งกว่าเดิม ป้ายสี Superman กันแบบสุดๆ ร้ายแบบยังหาใครมาเทียมไม่ได้ "โลกนี้คนดีอยู่ไม่ได้ (Superman)" กลายเป็นคำพูดที่มีความขลังมากขึ้นมาอีกเยอะ

- จากฉบับโรงที่ดูแล้วเครียด เพราะจับประเด็นอะไรก็ไม่ได้ เนื้อเรื่องลงหนักเหลือเกิน แต่พอได้มาดูฉบับ "Ultimate Edition" ที่มีการอธิบายเนื้อเรื่องเพิ่มเติม ทำให้เข้าใจและโอเคกับการเล่าเรื่องมากขึ้นอย่างที่บอกไปแล้วในตอนต้น และยังเติมเต็มความหมายของชื่อหนัง "Dawn of Justice (แสงอรุณแห่งยุติธรรม)" มากขึ้นอีกด้วย


- ถ้า "The Dark Knight Trilogy" คือ "Batman ฉบับที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด" สำหรับ "Batman v Superman : Dawn of Justice" ก็คือ "Superman ฉบับที่มีความเป็นมนุษย์มากที่สุด" ยังคงยืนยันเช่นเดิม

- การตัดต่อ นับว่าดีขึ้นเยอะ เช่นเดียวกับเนื้อเรื่อง จากตอนแรกที่โดดไปโดดมา นึกจะจบก็จบ นึกจะมาก็มา อันนี้คือดูดีขึ้น ลงตัวมากขึ้น และยังสร้างอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้ดีขึ้นด้วยครับ

Action ก็ยังคงเหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก มีฉากเพิ่มขึ้นนิดนึงเท่านั้นเอง ให้มันดูเยอะขึ้น แต่ยังไงก็สู้ "Man of Steel" ไม่ค่อยจะได้อยู่ดี

- เพลงประกอบคงไม่ต้องพูดอะไรมาก ฉบับโรงที่สร้างอารมณ์ร่วมให้กับตัวหนังมากขึ้น ฉบับนี้เองก็เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนครับ ถือว่า "Hans Zimmer & Junkie XL" ทำเพลงประกอบร่วมกันได้ดี แต่น่าเสียดายที่ "Justice League" เหลือแค่ "Junkie XL" เพียงคนเดียวแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพลงประกอบด้าน Drama และความยิ่งใหญ่จะสู้เท่าตอนที่ "Hans Zimmer" ยังอยู่ได้หรือไม่? ต้องรอดูกันต่อไปในปีหน้าครับ

- งานภาพดูดีขึ้นด้วยในภาพรวม หลังจากที่เพิ่มฉากใหม่ๆ เข้ามา แต่ว่า ยังคงต้องแก้ในส่วนของ Action อยู่ดี เพราะดูๆ แล้วออกแนว Comics มากไปสักนิดนึง แม้จะ Scale จะใหญ่ขึ้น แต่ดูแล้วสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูกสักเท่าไร

สรุป "Batman v Superman : Dawn of Justice - Ultimate Edition" ดีขึ้นกว่าฉบับโรงภาพยนตร์ ถูกอย่างดูมีที่มาที่ไปมากขึ้น ไม่กระโดดข้ามไปข้ามมาจนชวนอารมณ์เสีย แนะนำว่า ซื้อมาเก็บเอาไว้จะดีมากครับ แม้จะไม่มีเครื่องเล่น Blu-ray แต่ก็แนะนำให้ซื้อมาเก็บเอาไว้ เพราะ Blu-ray ถ้ามีการผลิตใหม่ในอนาคต ก็คาดว่าจะมีให้ชมกันแต่ฉบับโรงภาพยนตร์เท่านั้นครับ

"Batman v Superman : Dawn of Justice - แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน : แสงอรุณแห่งยุติธรรม" วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ในรูปแบบ VCD, DVD, Blu-ray, Blu-ray Digi-book & Blu-ray 3D ฉบับ "Ultimate Edition" จะอยู่ใน Package Blu-ray เท่านั้นนะครับ

Review By : T.J. @ T.J. Movie Review

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา

Review : Kung Fu Panda 3

Review : Kung Fu Panda 3 Score : 8/10 "ดูเพลิน สนุก ตลกฮา ปนน่ารักของเหล่าแพนด้า ตอนท้ายซึ้งดี พร้อมออกตามหาตัวตน ว่าเรานั้นเป็นใคร?" เรื่องย่อ : การกลับมาของพ่อแพนด้าของโปที่หายสาบสูญไปเมื่อนานมาแล้ว ทั้งคู่กลับมาร่วมทางกันสู่เมืองลับแลของแพนด้า เพื่อพบกับพวกแพนด้าตัวตลกหน้าใหม่ แต่เมื่อจอมวายร้ายผู้อยู่เหนือธรรมชาติอย่าง ไค เริ่มกวาดล้างประเทศจีนด้วยการเอาชนะจ้าวแห่งกังฟูทั้งหมด โพต้องทำสิ่งเหลือเชื่ออย่างการศึกษาวิธีการฝึกฝนเหล่าพี่น้องจอมเซ่อที่น่ารักของเขา เพื่อให้กลายเป็นเหล่าสุดยอดกังฟูแพนด้า!