ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : We Are X

Review : We Are X [Documentary]Score : 9/10

"การเล่าเรื่องคมคาย เจาะประเด็นได้ถูกจุด ทำให้คนที่ไม่ได้เป็นสาวก X-Japan
อยากจะติดตามผลงานของพวกเขา และสามารถทำให้แฟนๆหายคิดถึงได้"


We Are X เป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับประวัติของวงดนตรีที่มีอิทธิพลมากที่สุดวงนึงในโลกอย่าง X-Japan โดยจะเล่าผ่านทางหัวหน้าวงและมือกลองอย่าง โยชิกิ ซึ่งใช้วิธีการเล่าระหว่างประวัติความเป็นมาของวง สมาชิก ความรู้สึกของแต่ละคน การแยกวง การกลับมารวมวง ตัดสลับกับ เรื่องราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเขาที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด็น ในปี 2014 โดยชี้ให้เห็นมุมมองต่างๆที่เราทั้งเคยเห็นและไม่เคยเห็นจากวงนี้ ว่าพวกเขามีความลำบากมากแค่ไหนกว่าพวกเขาจะมาถึงทุกวันนี้ และพวกเขามีอิทธิพลและความผูกพันธ์กับแฟนเพลงของพวกเขานั้นมีมากแค่ไหน

ก่อนเข้ารีวิวต้องขออภัยทุกท่านที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเขียนรีวิวของหนังสารคดีเรื่องนี้ออกมา เพราะตัวผมเอง Mr.P ไม่รู้จะอธิบายมันออกมาอย่างไร นี่คือหนังสารคดีเรื่องแรกที่ผมได้ดูในชีวิต และทำให้ผมค้นพบสิ่งใหม่ๆในการดูหนังที่แตกต่างออกไปจนเขียนออกมาไม่ถูกเลย (หรือว่าอู้อยู่ก็ไม่รู้นะครับ 555+)

สิ่งที่อยากจะชื่นชมเลยคือ การเล่าเรื่องที่สามารถทำให้เราดำดิ่งไปกับความรู้สึก เขาสามารถทำให้เราอินกับเรื่องราวของวงดนตรีวงนี้ได้อย่างดี โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดีที่หนังจะพาเราได้ไปรู้จักตัวตนของแต่ละคนในวงมากขึ้น โดยเฉพาะตัวของโยชิกิ ที่เราจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเห็นหรือเคยได้ยินมา และทำให้เราหลงรักทั้งตัวโยชิกิและวงนี้จับใจ ถึงแม้จะเล่าโดยผ่านมุมมองของโยชิกิซะส่วนใหญ่ แต่มุมมองของเขาก็ทำให้เราเห็นว่าทุกคนในวงว่ามีความสำคัญแค่ไหนกับตัวเขา และนี่คือสิ่งที่ทำให้ทุกๆคนสามารถหลงรักทั้งวงได้ไม่ยาก ซึ่งมันคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้ควรจะเป็น และสามารถทำได้สำเร็จ

ส่วนเรื่องของการตัดต่อนี่คือ เด็ดของแท้ ซึ่งสามารถประสานกับการเล่าเรื่องได้เป็นอย่างดี การทำหนังสารคดี การตัดต่อก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าทำไม่ดีคนดูก็จะไม่เข้าใจ แต่ไม่ใช่กับหนัง เรื่องนี้ใช้การตัดสลับอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะดูแล้วเหมือนจะงง แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย หนังเรื่องนี้ใช้การตัดสลับได้อย่างชาญฉลาด เพราะทั้งหมดเป็นการปูเรื่องราวของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี ดูแล้วรู้สึกเหมือนว่าเราจะได้รู้เรื่องราวของคนในวงนี้มากขึ้นทั้งแนวคิด การใช้ชีวิต หลักการคิด ฯลฯ ซึ่งการตัดสลับแบบนี้ทำให้เราปะติดปะต่อเรื่องราวได้เรื่อยๆ จนไปพีคเอาตอนหลังๆที่เป็นการสรุปเรื่องราวสุดท้ายของแต่ละคน และทีเด็ดของหนังเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น Footage ที่หาได้ยากของวงที่มีการนำมาเผยแพร่ในหนังเรื่องนี้ ที่ยิ่งทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งที่พวกเขาเคยผ่านและเคยเป็นมา มันยิ่งทำให้เราอินกับเรื่องราวมากขึ้นไปอีก

ในส่วนของการบอกเล่าของผู้คนอื่นๆที่ไม่ใช่จากคนในวง X-Japan เอง มันทำให้เรายิ่งอินกับเรื่องราวของพวกเขามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันทำให้เรารู้มากยิ่งขึ้นว่าวงนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหนกับผู้คน ทั้งมุมมองและแง่คิดในการดำเนินชีวิตที่ทุกคนมีวงนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่ทำให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้า สร้างแรงบันดาลให้สู้ชีวิตต่อไป ซึ่งนี้คือเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาทำมาไม่เคยสูญเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งดีๆที่หาได้ยากจากหนังแนวอื่นๆ ที่จะบอกเล่าข้อคิดให้กับคนดู และสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้อย่างชัดเจนและดีเยี่ยม

เพลงประกอบคงไม่ต้องบอกอะไรมาก เพราะมันคือสิ่งบ่งบอกตัวตนของหนังเรื่องนี้และวง X-Japan เอง แต่การเลือกเพลงให้เขากับแต่ละฉากเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถเลือกเพลงทุกเพลงได้เข้ากับสถานการณ์ที่เขาต้องการจะเล่าได้เป็นอย่างดี แถมยังเจาะลึกไปถึงอารมณ์ความรู้สึกที่กลั่นออกมาเป็นเพลงแต่ละเพลง จนเราเข้าใจสัมผัสความหมายของมันได้ด้วยใจของเราเอง

สิ่งที่ผมชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยคือ Subtitle ที่แปลโดยพี่พลากร เป็น Subtitle ที่บ่งบอกความหมายได้อย่างชัดเจนและผิดเพี้ยนน้อยมากจากสิ่งที่มันควรจะเป็น แถมยังใช้อักษรและการผันวรรณยุกต์ได้อย่างถูกต้องอีกด้วย ยิ่งเพลงนี้แปลได้อย่างเข้าถึงจริงๆ รู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ของเพลงมันถูกต้องตามอารมณ์ของมันอย่างที่ควรจะเป็น และเรารู้สึกถึงความลึกซึ้งของเพลงๆนั้นได้จริงๆ

โดยรวมแล้วนี่คือหนังสารคดีที่ดีเรื่องนึงที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้รับชมกันครับ แล้วเราจะได้เห็นมุมมองที่แตกต่างที่เราไม่ค่อยได้เห็นจากวงๆ นี้ วงที่มีอิทธิพลมากที่สุดวงนึงของโลกว่าก็มีมุมมองในรูปแบบที่เป็นอีกด้วย แต่ก็ยังมีข้อตินิดหน่อยตรงที่การโฟกัสไปที่คนๆ เดียวมากไปหน่อย นั่นคือโยชิกิ จนคนอื่นมีบทบาทน้อยไปนิด จนมุมมองของคนอื่นมันดูสำคัญน้อยลงตามไปด้วย ทั้งๆที่สมาชิกคนอื่นๆก็ควรจะมีบทบาทมากกว่านี้อีกนิดนึง ไม่งั้นจะกลายเป็น We Are Yoshiki ไปแทน แต่นั้นก็เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผม คนที่ไม่เคยรู้จัก X-Japan มาก่อน รู้เพียงแค่ประวัติเล็กน้อยที่ได้หามาก่อนดูเท่านั้น เพราะทั้งหมดในหนังมันเหมือนเป็นการแนะนำให้คนที่ไม่เคยรู้จักวงนี้มาลองทำความรู้จัก ก่อนที่จะเป็นแฟนคลับจริงๆของพวกเขาในอนาคต เพราะเรื่องราวของพวกเขาและเพลงของพวกเขามันช่างมีเสน่ห์ชวนให้ติดตามเสียเหลือเกิน และหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าพวกเขาคือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะพวกเขาคือต้นแบบให้กับคนรุ่นหลังได้สืบทอดความเป็นตำนานนี้ต่อไป

ดูจบแล้วบอกเลยว่าที่บรรยายมาเยอะแยะเนี่ย เพราะว่าชอบหนังสารคดีเรื่องนี้ไงล่ะ ชอบจนอยากปรบมือให้พร้อมตะโกนออกมาดังๆให้สุดเสียงว่า "We Are X!!!"และอยากติดตามงานของวงนี้ต่อไปเรื่อยๆ ครับ

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง Documentary Club ที่ได้นำเอาสารคดีดีๆ แบบนี้ มาให้รับชมกันในโรงภาพยนตร์ด้วยนะครับ

Review By : Mr.P @ T.J. ENTERTAINMENT REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา