ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Game Review: Mass Effect Andromeda

Mass Effect Andromeda

การเดินทางข้ามกาแล็คซี่ ที่ไม่คุ้มค่าระยะเวลาเดินทาง


บทวิจารณ์โดย พันธวิศ สุขใจดี (MikeTavish)
วิจารณ์ตัวเกมในแพทช์ 1.05 (7 เมษายน 2560)
วิจารณ์จากระบบ PC

Mass Effect Andromeda คือเกม Sci-fi Action RPG ที่ถูกพัฒนาโดยสตูดิโอเกม RPG ขนาดใหญ่นามว่า Bioware โดยภาคนี้เป็นเกมลำดับที่ 4 ของเฟรนไชส์ Mass Effect หลังจากภาค 3 ที่ออกวางขายไปเมื่อปี 2012 ซึ่ง 3 ภาคแรกก็ถูกพัฒนาโดย Bioware เช่นกัน ถ้ามองเผินๆหลายท่านอาจจะมั่นใจได้ว่าเกมจะต้องออกมาดีแน่นอน จนกระทั่งไปล้วงลึกในการพัฒนา ถึงจะได้ทราบว่าทีมผู้พัฒนาภาคนี้คือ Bioware สาขามอนทริอัล ไม่ใช่สาขาเอ็ดมอนทัน ผู้ที่เป็นทีมพัฒนา Mass Effect ไตรภาคแรก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เนื่องจากทีมมอนทริอัลนั้นเองก็มีประสบการณ์ในการร่วมพัฒนามากับทีมเอ็ดมอนทัน ผมเองก็พอจะวางใจได้ว่าการเดินทางนี้คงไม่เสียเปล่า แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกผมก็เหมือนกับตัวละครหลักในเกม ที่หวังถึงดินแดนที่เป็นโลกใหม่ที่แสนสวยงาม แต่ที่จริงแล้วปลายทางของการเดินทางไม่ได้เป็นดั่งที่พวกเขาได้สัญญาไว้แถมยังเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคมากมายที่แสดงถึงความไม่พร้อมของผู้พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด

เนื้อเรื่องของ Mass Effect Andromeda เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาค 3 จบประมาณ 600 ปี ซึ่งก็คือเวลาเดินทางระหว่างกาแล็คซี่ทางช้างเผือกไปถึงกาแล็คซี่แอนโดรเมดา โดยในตอนนั้น ได้ค้นพบดาวที่สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ได้จำนวน 7 ดาวเคราะห์ผ่านการสแกนระยะไกล เผ่าพันธ์จากกาแล็คซี่จากทางช้างเผือกจึงเดินทางไปเพื่อค้นหา 7 ดาวเคราะห์นั้น แต่ในระยะ 600 ปีที่เดินทาง ได้มีกลุ่มก้อนพลังมืดที่มีชื่อว่า The Scourge เข้ามาปกคลุมที่แอนโดรเมดา และมีกลุ่มเอเลี่ยนนาม Kett เข้ามารุกรานในส่วนของดาวเคราะห์นั้นด้วย หนำซ้ำทีมสำรวจยังพบว่าดาวที่แสกนมาก่อนหน้านั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิม เกือบทั้ง 7 ดาวเคราะห์ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ได้ แต่ว่าใน 7 ดาวเคราะห์นั้นได้มีเทคโนโลยีของเผ่าเอเลี่ยนจักรกลนามว่า The Remnant ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนสภาพของดาวเคราะห์ให้สามารถอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นคือภารกิจของ Pathfinder ที่จะเดินทางไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ สานสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตในแอนโดรเมดา กำจัด Kett และสร้างบ้านใหม่ให้แก่สิ่งมีชีวิตจากทางช้างเผือกให้จงได้

ตัวพล็อตของ MEA นั้นมีความน่าสนใจและมีการเล่าเรื่องที่ติดตลกกว่าภาคที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ความน่าสนใจมาจากว่าเป็นเรื่องในสถานที่ที่ผู้เล่นไม่รู้จักมาก่อน แต่ว่าการเล่าบางทียังหาจุดลงตัวไม่ได้ เดี๋ยวตลกแล้วก็ตัดไปดราม่าแบบแปลกๆ แทนที่จะทำให้บทมันดูเบาลง มันทำให้บทดูกระอักกระอ่วนอยู่พอสมควร ส่วนตัวละครในภาคนี้ก็เป็นตัวละครใหม่หมด ซึ่งเราก็เห็นได้ชัดว่าจุดเด่นของเกม Mass Effect ทุกภาคเลยก็คือตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวละครรอบข้างหรือตัวเอก Ryder เองก็ตาม ตัวละครรอบข้างหลายตัวละครมีความน่าสนใจและน่าค้นหา โดยเฉพาะตัวละคร Peebee, Vetra และ Jaal แต่ฝั่งมนุษย์นั้นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมาก โดยยิ่ง Cora ที่แทบจะเป็นตัวละครที่พูดน่าหงุดหงิดเลยก็ว่าได้ ฝั่งมนุษย์ที่ผมว่าน่าสนใจที่สุดก็คงเป็น Suvi คนเดียวเท่านั้นเอง ในฝั่งมนุษย์ที่น่าสนใจ หลังจากที่ผมเล่นไปประมาณ 35 ชม. ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ผมอยากเล่นต่อไม่ใช่เควสหลัก แต่เป็นความน่าสนใจของตัวละครที่ผมพูดไปด้านบนมากกว่า ส่วนทางด้านเควสรองผมมองว่าไม่มีความสำคัญทางด้านเนื้อเรื่องเลย ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดในหัวข้อถัดไป

เควสหลักในภาคนี้ก็คือภารกิจที่จะแก้สถานการณ์ดาวเคราะห์ที่พวกเขาเจอและกำจัด The Kett ให้ได้ ค่อนข้างเข้าใจง่าย เควสเสริมส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสำรวจดาวและการทำภารกิจให้กับคนในดาวนั้นหรือจาก NPC อื่นรอบตัวเอก แต่เควสส่วนใหญ่เป็นเควสที่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ จะเป็นว่า ไปที่นู่น เอานี่มาให้หน่อย ไปที่นู่น ไปช่วยคนนี้ ซะมากกว่า ไม่ค่อยจะมีเนื้อเรื่องติดให้เห็นมากนัก เว้นแต่จะหาอ่านตาม Datapad เควสเสริมแรกที่มีเนื้อเรื่องก็คือ First Murderer แต่ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก และก็ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ว่าเควสเสริมก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ เพราะว่าผลตอบแทนค่อนข้างคุ้มค่าอยู่เหมือนกันและก็ไม่ได้น่าเบื่อถึงขนาด Dragon Age: Inquisition

Mass Effect Andromeda ใช้ Frostbite Engine ในการพัฒนา ซึ่งโยกมาจาก Unreal Engine 3 ที่เอ็ดมอนตันใช้ในการพัฒนาไตรภาคแรก ซึ่งจุดนี้แสดงถึงความไม่พร้อมของทีมพัฒนาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางกราฟฟิค,เทคนิค ปัญหาอนิเมชั่นและปัญหาด้านเสียง MEA มีปัญหาเยอะมากในทางด้านเหล่านั้น ซึ่งส่งผลต่อตัวเกมได้มากอยู่ไม่น้อยเลย

ที่เห็นชัดที่สุดก็คือปัญหาอนิเมชั่นที่หลายคนเรียกว่า พังส่วนตัวผมมองว่าอนิเมชั่นไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น ยังอยู่ในจุดที่รับได้อยู่ ถ้ามองในมุมของว่าโทนเรื่องติดตลกด้วย อนิเมชั่นทำให้ผมเหมือนดูซิทคอมอวกาศ ซึ่งผมก็โอเคนะ แต่มันไม่โอเคเมื่อพล็อตมันซีเรียสแล้วอนิเมชั่นมันไม่ดีขึ้น มันทำให้คนเล่นอารมณ์หลุดจากฉากนั้นได้เลย ดวงตานี่เป็นปัญหาที่ชัดเจนมาก ที่มีความไม่เป็นธรรมชาติถึงที่สุด แต่ในแพทช์ล่าสุด ปัญหาเหล่านั้นก็ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นเท่าไหร่ แต่ปัญหาเหล่านั้นมีผลแค่ในคัทซีนเท่านั้น ผมมองว่าอนิเมชั่นในตัวเกมที่เล่นจริงๆเป็นอะไรที่ดี มีความลื่นและหลากหลายดี ซึ่งมันก็ช่วยในด้านเกมเพลย์ได้มาก

ในด้านเกมเพลย์นั้นผมมองว่าภาค Andromeda คือจุดสูงสุดของซีรี่ย์ Mass Effect จากการเปลี่ยนปุ่ม Space ที่เอาไว้ทำแทบทุกอย่างมาเป็นกด Shift ในการวิ่ง E เพื่อเปิดประตู และมีระบบเข้าที่กำบังโดยอัตโนมัติ และที่สำคัญที่สุดคือระบบ “Jump Jet” ที่สามารถใช้ในการสำรวจและแอคชั่น แรกๆผมก็ต้องบอกเลยว่าผมไม่ชินและค่อนข้างหงุดหงิดกับระบบเหล่านี้โดยเฉพาะระบบเข้าที่กำบัง แต่ในตอนนี้ ผมไม่สามารถอยู่โดยขาดระบบพวกนี้ได้แล้ว เกมเพลย์ในภาคนี้คือจุดที่ช่วยเกมนี้ได้ดีที่สุดโดยแท้จริง ถึงแม้ระบบเข้าที่กำบังจะเก้ๆกังๆไปบ้าง แต่ก็มีระบบ Jump Jet ในการหลบหลีกและอ้อมดักหลังศัตรูเพื่อช่วยผู้เล่นในการต่อสู้ได้ดีมาก  ระบบเหล่านี้ทำให้โหมด Multiplayer ของภาคนี้สนุกมากๆกว่าของภาค 3 อยู่เยอะ แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยคือการที่เอาระบบสั่งเพื่อนร่วมทีมออก ในตอนนี้ผู้เล่นสามารถอัพสกิลเพื่อนร่วมทีมได้เท่านั้น ไม่สามารถเลือกอาวุธและสั่งให้เพื่อนร่วมทีมสามารถใช้สกิลได้อีกแล้ว ทำให้ส่วนของ RPG หายไปอีกหน่อย แต่มันทำให้คนเล่นสามารถเข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้น ซึ่งผมเข้าใจ แต่ก็ไม่ควรเอาระบบนี้ออก  อีกระบบที่เพิ่มเข้ามาคือระบบของใช้ โดยภาคนี้กระสุนชนิดต่างๆถูกยกไปเป็นของใช้แล้วทิ้งหมด ไม่ได้สกิลอีกต่อไปแล้ว

ภาคนี้มีเน้นในด้านการสำรวจ ฉะนั้นก็ต้องมีระบบสร้างของเข้ามาแน่นอน โดยการหาของหาได้จากแผนที่ในเกม ซื้อจากร้านค้า หรือเปิดตามกล่อง แต่การที่จะสร้างได้นั้นต้องมีพิมพ์เขียว โดยจะได้มาจากการเก็บคะแนนวิจัยซึ่งได้มาจากการสแกนสิ่งของในเกม คะแนนวิจัยจะแบ่งเป็น 3 ชนิด ตามต้นกำเนิดของสิ่งที่เราวิจัย แต่ว่าผู้เล่นสามารถสร้างของจากพิมพ์เขียวได้จากวัสดุเดียวกันหมด ไม่มีวัสดุพิเศษที่ต้องไปตามหาเพิ่ม การสำรวจในสถานที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องมียานพาหนะ ซึ่งรถ Nomad ก็สามารถขับได้ง่ายกวา MAKO ของภาคแรกเยอะมาก ทำให้การสำรวจไม่น่าหงุดหงิดเท่าของภาคก่อน แต่ผมรู้สึกว่าบางแมพก็โล่งเกินไป ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก

ดนตรีและเสียงในภาคนี้ผมว่าก็ทำได้ดี เสียงปืนในภาคนี้ฟังดูดีกว่าที่ผ่านมามากพอสมควร ดนตรีก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ก็ยังไม่มีดนตรีที่ติดหูมากนัก แต่ปัญหาที่ผมเจอคือเสียงมักจะขาดหายไปในบางครั้ง เช่น ขับรถอยู่ เสียงเครื่องยนต์จะหายไป เล่นไปเรื่อยๆเสียงก็จะหายไปทั้งเกมเลย แต่ที่หนักสุดคือเสียงเกมหายทั้งเกมตอนเล่นมัลติเพลเยอร์ (ในตอนนี้ได้แก้ไขแล้ว)

ด้านกราฟฟิคอยู่ในเขตที่เรียกว่าสวย งานแสงและงานออกแบบสภาพแวดล้อมทำได้ดีมาก แต่ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเกมแนวนี้ โมเดลตัวละครเป็นสิ่งที่ค่อนข้างกลางๆ บางโมเดลมีความละเอียดที่ดีมาก แต่บางตัวความละเอียดน้อยจนดูไม่ดีเลย บางตัวละครก็มีปัญหาการโหลดเท็กซ์เจอร์ เวลาสลับมุมกล้องไปมาตัวละครนั้นจะหน้าเบลออยู่ช่วงหนึ่งตลอดแล้วค่อยดีขึ้น ตัวละครมนุษย์มีการปั้นโมเดลที่แย่ที่สุดในเกมนี้ ซึ่งผมตกใจมากเพราะมนุษย์คือตัวละครหลักของเกมนี้ เกมค่อนข้างใช้สเปคค่อนข้างสูงด้วย แต่ผมคิดว่ามันสูงเกินไป เพราะเกมก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น ผมมองว่า Battlefield 1 สวยกว่า ส่วนตัวผมคิดว่าเพราะทางทีมงานไม่คล่องกับการพัฒนาใน Frostbite Engine อยากให้ใช้ Unreal Engine 4 มากกว่า

ผมคิดว่า Mass Effect Andromeda เป็นเกมที่เหมือนว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ถึงแม้จะพัฒนามาแล้วเกือบ 5 ปี เกมเองก็ไม่ได้ดีเด่นเหมือน Mass Effect 2 หรือเทียบแบบโกงๆเลยก็คือ The Witcher 3 ซึ่งดีกว่า MEA หลายขุมมาก แต่เป็นเกมที่สามารถเล่นได้เพลินๆ ฆ่าเวลาไปได้ ถ้าเล่นไปจนสามารถรับปัญหาได้ก็จะดูดเวลาไปได้เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำจริงๆ ผมแนะนำให้รอลดราคาหรือรอแพทช์แก้ให้เกมเสถียรกว่านี้ก่อนจะดีกว่าครับ

7/10
พอใช้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา