ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : It's Only The End Of The World

Review : It's Only The End Of The World [25/2017]
Score : 8.5/10


"หนังสามารถสื่อสารปัญหาของตัวละครแต่ละคนได้เป็นอย่างดี สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้ที่เคยมีประสบการณ์ในรูปแบบนี้ได้ไม่น้อย บอกเล่าเรื่องราวสเกลเล็กๆอย่างครอบครัวได้อย่างยิ่งใหญ่และบีบคั้นอารมณ์เป็นอย่างมาก"


หนังเรื่องใหม่จากผู้กำกับสายรางวัลในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ซาเวียร์ โดลอง ที่สามารถทำการบอกเล่าหนังในสเกลเล็กอย่างครอบครัวได้อย่างลึกซึ้งในมุมมองของเขาเอง จนทำให้หนังของเขามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จนมาถึงหนังเรื่องนี้เขากลับมาอีกครั้ง พร้อมทั้งควบ 6 ตำแหน่งในหนังเรื่องเดียว ตั้งแต่ กำกับ,อำนวยการสร้าง,เขียนบท,ลำดับภาพ,ออกแบบเครื่องแต่งกาย และ ทำ Subtitle ภาษาอังกฤษ

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของ หลุยส์ ลูกชายคนกลางของครอบครัวที่ห่างหายไปจากบ้านเป็นเวลานานถึง 12 ปี จนกระทั่งเขาตัดสินใจที่จะกลับมาสั่งลาครอบครัวของเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาอย่างเนิ่นนานเป็นครั้งสุดท้าย

ความรู้สึกหลังจากที่อ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆ ผมก็ยังสงสัยว่า หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้มันก็มีแค่พล็อตง่ายๆนี่นา มันจะเล่นอะไรได้มากหรือเปล่า แต่พอได้สัมผัสกับหนังเรื่องนี้จริงๆ มันเป็นหนังสเกลเล็กที่ไม่เล็กเลยจริงๆ (เหมือนกับช่างแอร์ในตำนานที่มาบอกว่า ผมไม่เล็กนะครับ 555) เพราะ หนังเรื่องนี้สามารถขยายเรื่องราวเล็กๆให้ยิ่งใหญ่และบีบคั้นเราหนักมากได้จริงๆ ด้วยความที่ทุกอย่างมันคือ ความลงตัวขนานแท้

สิ่งที่ทำให้ตัวหนังโดดเด่นมากเลยก็คือ อารมณ์ของหนังเรื่องนี้ ที่มีสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกได้เลยว่ามันกดดันเอามากๆ เพราะ เขาเลือกที่จะใช้การ Close Up ใบหน้าของนักแสดง ทำให้เราการแสดงสีหน้าที่ชัดเจน บวกกับ บทสนทนาที่พร้อมจะพาให้เรารู้สึกถึงความแตกหักมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หนังเรื่องนี้สร้างความกดดันได้เป็นอย่างมาก และในความกดดันนั้นมันแฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่พร้อมจะทิ่มแทงเราได้ทุกเมื่อ

การแสดงเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สุดยอดอย่างนึงในหนังเรื่องนี้ การันตีโดยหนังแสดง 2-3 คนที่มีผลงานมาแล้วถึงระดับฮอลลีวู๊ด แต่คนที่เด่นที่สุดกลับไม่ใช่คนที่ไปถึงฮอลลีวู๊ด แต่เป็นคนที่แสดงเป็น อองตวน พี่ชายของหลุยส์ที่แสดงออกมาได้อย่างดีจนไม่รู้จะบรรยายได้ยังไง เพราะสีหน้าท่าทางของเขาทำให้เราเชื่อได้จริงๆว่าเขาเป็นคนที่มีบุคลิกอย่างนั้น ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่าจริงๆแล้วเขามีเหตุผลในการเลือกกระทำตัวเป็นคนงี่เง่า เพื่ออะไรบางอย่าง แถมตัวละครนี้เป็นตัวละครที่โคตรแย่งซีนในทุกๆการสนทนาจริงๆ ในส่วนของตัวละครอื่นๆก็สามารถทำให้เราเชื่อในบุคลิกนั้นๆได้จริงๆ ว่าเขามีปัญหาค้างคาใจและสามารถสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้เรารู้ว่าแต่ละตัวละครรู้สึกอย่างไร มีปัญหายังไง

บทของหนังเรื่องนี้มีการเล่าได้อย่างชาญฉลาด เพราะเลือกที่จะค่อยๆเปิดเผยเรื่องราว ปมปัญหาในใจของแต่ละคน ทำให้เราค่อยๆซึบซับมุมมองของแต่ละตัวละครและสะสมไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ถูกระเบิดออกมาในช่วงท้าย ทำให้เราอึดอัดตายกันไปข้างนึงเลย

แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดจริงๆของหนังเรื่องนี้คือ การตัดต่อที่ชัดเจน เพราะหนังเรื่องนี้ในการตัดข้ามไปซีนถัดไป จะใช้เพลงประกอบร่วมกับภาพที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้ตัวละครดูมีมิติมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เราปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ในซีนถัดไปได้อีกด้วย

โดยรวมแล้วนี้คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวสเกลเล็กๆอย่างครอบครัวได้อย่างดี จนทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ซึ่งมันสามารถสร้างแรงกดดันได้อย่างมหาศาลกับคนที่เข้าใจกับสถานการณ์เหล่านี้ ยิ่งถ้าเป็นคนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายๆกันในลักษณะนี้จะยิ่งเข้าใจและทิ่มแทงบาดใจลึกอย่างแรงจนอยากจะเอาเรื่องราวของเรามาแก้ไขให้มันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนกันเลยทีเดียว

Review By Mr.P @ T.J. ENTERTAINMENT REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา

Review : Kung Fu Panda 3

Review : Kung Fu Panda 3 Score : 8/10 "ดูเพลิน สนุก ตลกฮา ปนน่ารักของเหล่าแพนด้า ตอนท้ายซึ้งดี พร้อมออกตามหาตัวตน ว่าเรานั้นเป็นใคร?" เรื่องย่อ : การกลับมาของพ่อแพนด้าของโปที่หายสาบสูญไปเมื่อนานมาแล้ว ทั้งคู่กลับมาร่วมทางกันสู่เมืองลับแลของแพนด้า เพื่อพบกับพวกแพนด้าตัวตลกหน้าใหม่ แต่เมื่อจอมวายร้ายผู้อยู่เหนือธรรมชาติอย่าง ไค เริ่มกวาดล้างประเทศจีนด้วยการเอาชนะจ้าวแห่งกังฟูทั้งหมด โพต้องทำสิ่งเหลือเชื่ออย่างการศึกษาวิธีการฝึกฝนเหล่าพี่น้องจอมเซ่อที่น่ารักของเขา เพื่อให้กลายเป็นเหล่าสุดยอดกังฟูแพนด้า!