Review : Moonlight [17/2017]
Score : 9/10 (All) 8/10 (Entertain)
"เป็นหนัง Coming Of Age ที่มีแง่คิดที่ดีในแง่ของความเปลี่ยนแปลงในชีวิต งานภาพสวยงาม เลือกใช้มุมกล้องสื่ออารมณ์ได้อย่างดี มีความชัดเจนในการเล่าเรื่องที่แตกต่างกันในแต่ละองก์"
หนังเรื่องนี้เป็นหนังของค่าย A24 ที่สร้างหนังที่ไม่ค่อยจะ Mass นัก แต่ก็มีความน่าสนใจอยู่หลายเรื่อง เช่น Green Room, The Lobster, Equals, Swiss Army Man, The Witch โดยมีหนังที่ได้เข้าชิงออสการ์อย่าง Ex Machina, Room ซึ่งปีนี้ก็ไม่พลาดส่ง Moonlight มาชิงออสการ์ด้วย และไม่ได้มาแค่บริษัทเดียว คราวนี้มากับ Plan B ในการร่วมกันสร้าง และมี Brad Pitt มาเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย แถมหนังเรื่องนี้ยังได้รางวัลการันตีจากงานลูกโลกทองคำอีกด้วยว่าเป็นหนังที่ดีมีคุณภาพเรื่องนึง
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของ ไชรอน ชายหนุ่มผิวสีที่มีชีวิตลำเค็ญและถูกรังแกมาโดยตลอด โดยต่อมาได้รับความช่วยเหลือจากฮวนและเทรีซา ที่ยื่นมือเข้าช่วยในหลายๆเรื่อง รวมไปถึงการทำความเข้าใจชีวิตและการค้นหาตัวตนของเขาอีกด้วย โดยเขามีเพื่อนสนิทอีกคนที่ช่วยให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตและมีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อไป
ตัวหนังจะแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 องก์ อย่างชัดเจน คือ ช่วงวัยเด็ก, วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้อย่างนึงก็ว่าได้ เพราะจุดนี้ทำให้หนังมีเอกลักษณ์ในแต่ละองก์ไม่เหมือนกัน โดยทั้งหมดจะเล่าเรื่องราวของ ไชรอน ในรูปแบบต่างๆที่ต้องตัดสินใจเลือกทำสิ่งต่างๆ ไปพร้อมๆกับเส้นทางที่เขาต้องเลือกเดิน โดยองก์แรกคือ การค้นหาตัวตน องก์ที่สองคือ การเลือกทำ และองก์ที่สามคือ ความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เขาเลือกทำ และทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของพัฒนาการของตัวละคร ซึ่งทำให้ตัวละครดูมีมิติและเข้าถึงได้ พร้อมๆกับการที่เราจะทำความเข้าใจตัวละครว่าสิ่งที่เขาเลือกทำจะส่งผลอย่างไรกับชีวิตของเขา
การแสดงก็ถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญในเรื่องนี้ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่มีใครเด่นกว่าใคร แสดงได้ดีกันทุกคน แต่อยากจะชื่นชมคนที่แสดงเป็น ไชรอนในวัยเด็กแสดงได้ดี ไม่รู้สึกติดขัดเลย นักแสดงที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Mahershala Ali ในบทฮวน เพราะเขาได้เขาชิงสาขานักแสดงสมทบมามากมายหลายรางวัลและคว้ามาได้เกือบทุกรางวัล ซึ่งพอดูแล้วก็เด่นพอตัวนะ แต่ก็ไม่ได้เด่นมาก เพราะทุกคนแสดงดีกันหมด
แต่เรื่องนี้ดูท่า Mahershala Ali ดูจะเป็นนักแสดงหลักที่สุดนี้แหละ เพราะบทบาทของเขาค่อนข้างที่จะสำคัญกับชีวิตของ ไชรอน เอามากๆ จึงค่อนข้างเหมาะที่จะให้เขาได้ชิงรางวัล และอีกอย่างคนที่แสดงเป็น ไชรอน ก็เปลี่ยนบ่อย จนรู้สึกว่านักแสดงสมทบจะดูเด่นกว่าในการเข้าชิง
สิ่งสำคัญอีกอย่างนึงที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือ เรื่องงานภาพ เพราะได้เข้าชิงออสการ์ทั้งลำดับภาพและถ่ายภาพ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยทีเดียว โดยเฉพาะมุมกล้องที่ใช้ Shaky Camera ค่อนข้างเยอะ และใช้การตามติดนักแสดง พร้อมกับการ Close Up และ Long Take ซึ่งสามารถทำให้แสดงอารมณ์ของหนังในเวลานั้นๆได้เป็นอย่างดี ทำให้เรารู้ว่าหนังอยู่ในอารมณ์ไหน Mood & Tone ก็คุมได้อย่างดี สีสันในหนังก็อยู่ในระดับที่จัดจ้านพอตัว แต่ไม่ห่างไกลจากความสมจริงมากนัก บางทีก็รู้สึกเหมือนดูหนังเควนตินผสมกับ Birdman ที่ตัดต่อ Long Take อยู่พอตัว
หนังเรื่องนี้มีสารหลักสำคัญคือ การค้นหาตัวตนและการเลือกทำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ถึงว่าตีโจทย์แตกอยู่พอตัว และมันก็ทำให้เราหันกลับมามองพร้อมกับคิดทบทวนว่า สิ่งที่เราเลือกทำนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆหรือไม่ ถือได้ว่าเป็นประเด็นที่ดีมากที่จะให้คนดูได้กลับไปคิดทบทวนและขบคิดกัน
แต่หนังก็ยังมีจุดด้อยอยู่ก็คือ หนังค่อนข้างที่จะช้าพอตัว ถ้าคนดูเป็นคนที่ไม่หนังแนวค่อยๆเล่าก็อาจจะไม่อินและหลับได้ ซึ่งบางประเด็นก็ออกจะห่างไกลจากตัวคนดูไปพอสมควร ถ้าเราไม่ใช่คนที่ชอบอะไรอย่างนี้มากนัก ก็อาจจะไม่ชอบได้
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังที่ให้แง่คิดได้อย่างมากมาย ทั้งการเลือกทำ การค้นหาตัวตน การขบคิดถึงปัญหาหลังจากที่ดูจบ ถือว่าสอบผ่านในการที่เป็นหนังชิงราวัลเรื่องนึง แต่ก็คงจะยากหน่อยในการเข้าถึงผู้คน เพราะบางประเด็นก็ค่อนข้างที่จะห่างไกลตัวคนดูไปบ้าง หรือแม้กระทั่งการเล่าเรื่องที่ช้าจนอาจทำให้คนดูหลับได้ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังดีๆเรื่องนึงที่ควรดู เหมาะสำหรับคนที่ต้องการแง่คิดติดตัวกลับมาจากการดูหนัง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันที่เราต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่เราก็พร้อมที่จะแก้ไขมันในอนาคตข้างหน้า และเหมาะสำหรับคนที่อยากพิสูจน์ว่าปีนี้ใครจะได้ออสการ์ไปครองในสาขาต่างๆ ก็เชิญชวนให้ไปลองพิสูจน์กันครับ รับรองว่าต้องได้แง่คิดดีๆอะไรบางอย่างกลับไปขบคิดอย่างแน่นอน
Review By Mr.P @ T.J. MOVIE REVIEW
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น