ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : Manchester By The Sea

Review : Manchester By The Sea [16/2017]
Score : 10/10 (มีมากกว่านี้ก็ให้มากกว่านี้ไปแล้วครับ)

"หนังสามารถสะท้อนเรื่องราวได้อย่างดีเหมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์
และเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญ, การแสดงของ Casey Affleck คือที่สุด
สามารถเข้าถึงบทบาทได้อย่างสุดยอด สมคำร่ำลือของจริง"


ก่อนจะเข้าบทความรีวิว ต้องบอกก่อนเลยว่า ผม Mr.P อินมากกับหนังเรื่องนี้ เพราะต้องบอกตามตรงว่า มันตรงกับชีวิตของตัวผมเองในสมัยก่อนที่เป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์แย่เหมือนๆกับตัวเอกในเรื่องพอสมควร ถ้าอวยมากไปต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ลี แชนด์เลอร์ ชายผู้หลีกหนีจากอดีตของตนเองไปเป็นภารโรงอยู่ที่บอสตัน แต่ก็มีเหตุที่ต้องทำให้เขาต้องกลับมาที่นิวอิงแลนด์ เมืองแมนเชสเตอร์ เนื่องจากพี่ชายของเขา โจ แชนด์เลอร์ ได้เสียชีวิตลง ลี จึงต้องทำหน้าที่ดูแลหลานของเขา แพททริก ที่กำลังเติบโตในวัย 16 ปี อย่างไม่เต็มใจ เพราะเขามีอดีตที่เจ็บปวด ณ เมืองแห่งนี้ เขาจึงต้องหาทางทำให้ตัวเขาเองผ่านพ้นความเจ็บปวดในอดีตที่ตามหลอกหลอนเขา พร้อมทั้งทำหน้าที่ดูแลหลานไปด้วยพร้อมๆ กัน

หนังเรื่องนี้มีองค์ประกอบดีๆ มากมายที่น่าชื่นชม อย่างแรกเลย คือ เพลงประกอบ ที่ชวนให้รู้สึกและเข้าใจอารมณ์ของหนังกับตัวละครได้เป็นอย่างดี ในช่วงแรกๆ ผมรู้สึกว่ามันออกจะแปลกๆ นิดหน่อยและไม่ค่อยจะคุ้นชิน แต่พอดูไปได้สักพัก เราก็เริ่มรู้สึกว่ามันเข้าไปกับตัวหนังได้เป็นอย่างดี จนบางฉากทำให้ผมขนลุก ทั้งๆที่ใส่เสื้อกันหนาวอยู่ เพราะ มันช่างเข้ากับสถานการณ์มากเสียจนอยากจะตบมือให้เดี๋ยวนั้นเลย

อย่างต่อมาเลยก็คือการแสดง หลังจากมีกระแสมากมายว่า Casey Affleck ได้รับรางวัลมากมายจากการแสดงเรื่องนี้ หลังจากที่ได้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วรู้สึกได้เลยว่า มันเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันมาจริงๆ เพราะทั้งตัวบทและการแสดง มันเข้ากันได้อย่างดีจนเราต้องมนต์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว แถมรู้สึกได้เลยว่า สิ่งที่ตัวละครเลือกทำมันคือเรื่องจริง ถ้าเราต้องเจอเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นในหนัง เราคงใจสลายและทำในสิ่งที่เขาทำแบบไม่มีข้อแตกต่างเลย

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดีงามอย่างต่อมาเลยคือ การเล่าเรื่อง ที่ใช้วิธีการย้อนอดีตแล้วค่อยๆเปิดเผยเรื่องราวของพระเอกไปทีละนิด ซึ่งมันทำให้เราค่อยๆซึมซับมุมมองของตัวเขา และมันยิ่งตอกย้ำให้เรารู้สึกรักและเข้าใจตัวละครมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ตัวเอกอย่าง ลี แชนด์เลอร์ ดูมีมิติ จับต้องได้ ดูเป็นมนุษย์ และการเล่าเรื่องแบบนี้ก็สร้างบรรยากาศความเหงา เศร้า รู้สึกผิด และเจ็บช้ำได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะซีนที่ต้องปะทะกันของความรู้สึกผิดในใจ บอกเลยว่ามีน้ำตารื้น

นอกจากหนังจากพาเราเข้าถึงตัวละครได้แล้ว อีกอย่างนึงที่ชอบก็คือ การที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราเข้าไปสำรวจชีวิตของ ลี แชนด์เลอร์ ในช่วงเวลานึงที่เขาต้องเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก จนทำให้เราอยากจะรู้ตอนต่อของชีวิตของเขาว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และสุดท้ายก็ยังทิ้งให้เราคิดทบทวนและตั้งคำถามกับตัวเราเองอยู่พอสมควร

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังซีเรียสหรือหนังรางวัลเรื่องอื่นๆ คือ การใส่สถานการณ์ที่เป็นความตลกในรู้แบบของความจริงจัง หรือ "แก๊กซีเรียส" ซึ่งมันค่อนข้างที่จะแปลกใหม่ เพราะรู้สึกได้ว่าหนังมันเป็นสถานการณ์ที่จริงจัง แต่กลับตลกได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งมันหาได้อยากจริงๆ ในหนังซีเรียสหรือหนังรางวัล เพราะการใส่สถานการณ์แบบนี้จะมีอยู่ในหนังตลกซะส่วนใหญ่ แต่หนังโทนจริงจังอย่างเรื่องนี้ กลับสามารถใส่เข้ามาได้อย่างลงตัว และไม่ทำให้หนังหลุดไปจากโทนเรื่องที่ควรจะเป็น

สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์สุดๆเลย คงจะเป็นนักแสดงสมทบที่ผ่านเข้ามาในฉากแค่ฉากสองฉาก เพราะผมรู้จัก Casey Affleck เรื่องแรกจาก Tower Heist แล้วในเรื่องนี้ก็มีนักแสดงอยู่ 2-3 คนที่มาร่วมแสดงด้วย จนทำให้ผมนึกว่า เบน สติลเลอร์ จะโผล่มาไหมนะ 555+

แต่ถ้าจะให้พูดถึงตัวละครสมทบตัวอื่นละก็ บอกเลยว่าทุกคนที่เป็นคนที่มีส่วนสำคัญในชีวิตของพระเอก ทุกคนแสดงได้อย่างดี แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังคงโฟกัสที่จุดเดียวคือ พระเอก จนนี้อาจเป็นจุดด้อยเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าตัวละครอื่นๆ จะมีมิติที่น้อยกว่าตัว Cesey Affleck อยู่พอสมควร แต่ทุกตัวละครก็มีความคิด การตัดสินใจที่ดี และสมจริงมีความเป็นมนุษย์กันทุกคน จึงทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีมิติมากขึ้นไปอีก ซึ่งดีงามอีกเช่นเคย

โดยสรุปแล้วหนังเรื่องนี้มีอะไรให้คนดูมากกว่าที่คาดหวังอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงของ Casey Affleck ที่เข้าบทบาทที่ได้รับสุดๆ, การใส่"แก๊กซีเรียส"ลงมาทำให้เราขำแต่ไม่หลุดโทนหนัง และความเจ็บปวดที่เขาจะต้องเผชิญกับการรับมือในแบบที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ที่สะท้อนให้คนดูให้เห็นอย่างชัดเจน ฯลฯ

ซึ่งตลอดความยาวหนัง 2 ชั่วโมงกว่า องค์ประกอบของหนังทั้งหมดไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย แถมยังอยากดูต่อไป เพราะอยากเห็นว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมคงสื่ออะไรได้ไม่มากนอกจาก เชียร์ให้ไปดูกันครับ มันเป็นอะไรที่ควรดูจริงๆ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไม Casey Affleck ถึงได้เข้าชิงรางวัลมามากมาย และได้เข้าชิงถึงออสการ์ ผมรับรองว่า ทุกคนที่ได้ดูคงจะได้มุมมองในการใช้ชีวิตจากหนังเรื่องนี้หลังดูจบ ไม่มากก็น้อยครับ

Review By Mr.P @ T.J. MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา