ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : Fantastic Beast and Where To Find Them

Review : Fantastic Beast and Where To Find Them
Score : 8/10 (Entertain) & 7.5/10 (All)

"เปิดโลกเวทมนตร์ใหม่ได้โอเค มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ความฮามาตลอดเรื่อง, J.K. Rowling กับการเขียนบทครั้งแรก ที่ต้องปรับอีกนิดหน่อย IMAX คุ้มค่า Frame Break พอใช้ได้"


เรื่องย่อ : การเดินทางของ นิวต์ สคาแมนเดอร์ ศาสตราจารย์ด้านสัตว์วิเศษที่ออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเขียนตำราที่นักเรียนชั้นปี 1 ของฮอกวอตส์ทุกคนต้องอ่าน โดยเมื่อเขาเดินทางมาถึงนิวยอร์กในปี 1926 กระเป๋าเดินทางของเขากลับถูกโนมาจ (มักเกิ้ล) นามว่า จาค็อบ หยิบสลับไป เป็นเหตุให้สัตว์วิเศษที่อยู่ในนั้นถูกปล่อยออกมา จนอาจสร้างความวุ่นวายให้กับโลกมนุษย์และโลกพ่อมด

- สำหรับภาพยนตร์ "Fantastic Beast and Where To Find Them" (จากนี้ขอเรียกย่อๆ แค่ว่า "Fantastic Beast" นะครับ) ถือว่า เป็นการเขียนบทครั้งแรกของ J.K. Rowling ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์โอเคใช้ได้ ยังต้องปรับอะไรบ้างนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ดีแล้วก็ไม่ได้แย่มาก อารมณ์เหมือนอ่านนิยายที่เส้นเรื่องจะเยอะนิดนึง

- ด้านเนื้อเรื่อง จะพูดถึงตัว นิวท์ สคามันเดอร์ ที่ได้เดินทางมายังนิวยอร์ค เพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนหนังสือ "Fantastic Beast and Where To Find Them" หรือในชื่อไทยตรงๆ เลยว่า "สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่" ซึ่งสัตว์ในกระเป๋าบางตัวก็ได้หลุดออกไป พร้อมกับตัวนิวท์ ที่ได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ลึกลับที่นิวยอร์คด้วย ทำให้เขาต้องรีบแก้ไขทุกอย่างกลับมาเป็นดังเดิมให้เร็วที่สุด

- โดยรวมก็ถือว่า โอเคครับ มีการปูเรื่องราวได้ดีจากช่วง Opening พร้อมกับการเล่าเรื่องที่อยู่กลางๆ ช่วงแรกๆ จะมีเร่งบ้าง อืดบ้าง แต่ไม่ได้น่าเบื่อมากนัก มีการสอดแทรกเรื่องราวที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของชุมชนผู้วิเศษในอเมริกากับพวกโนแมจ (มักเกิ้ล) เป็นช่วงๆ ผสมไปกับเรื่องราวหลักของเรื่องก็คือตัวนิวท์ ซึ่งโทนเรื่องดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จริงจังมากขึ้น มาพร้อมอะไรที่ฮาๆ ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ด้วย

- ตัวเรื่องยังมีการแทรกเรื่องราวของ "สัตว์มหัศจรรย์" ไปด้วย ซึ่งมีฉากใหญ่ๆ ฉากนึงที่จะมาเล่าเรื่องราวนี้โดยเฉพาะเลย ก็ถือว่าใช้ได้ครับ อารมณ์เหมือนมีคนเอาหนังสือ 120 กว่าหน้า มาสรุปย่อให้ฟังประมาณ 10 นาที แต่ก็จบง่ายไปนิดนึง สำหรับฉากที่เป็น 1 ในคีย์หลักของเรื่อง

- ใครที่เป็นแฟนๆ "Harry Potter" แล้วมาดูเรื่องนี้อาจจะต้องยิ้มกันนิดๆ เพราะมี Easter Egg ที่ร้อยเรื่องราวเข้าหากันระหว่างทั้ง 2 เรื่องด้วย

- มีการปูทางให้กับตัวละครของ "Newt & Grindelwald" ได้ในระดับพื้นๆ และเรียบๆ มาก จน 2 ตัวละครนี้ดูออกแนวไม่มีอะไร แต่ก็มีอะไร ในขณะที่ตัวละครรองที่ซึ่งจะมีบทบาทในภาคเดียวอย่าง "Tina, Queenie, Jacob& Credence" ยังเล่าเรื่องได้น่าสนใจและดีกว่าตัวละครหลักซะอีก

- ฉากที่ดีที่สุดก็คือฉากจบของเรื่องนี่แหละครับ บิ๊วท์อารมณ์ความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าลาจากได้ดี แอบขนลุกนิดๆ เลย

- สำหรับในด้านนักแสดง "Eddie Redmayne" ที่รับบทเป็น "Newt Scamander" ก็แสดงออกมาได้โอเคครับ ดูแล้วเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ทำงานไปเพียงอย่างเดียว "Katherine Waterston" ที่รับบทเป็น "Porpentina "Tina" Goldstein" & "Alison Sudol" ที่รับบท "Queenie Goldstein" 2 พี่น้องที่มีความต่างขั้วกันเป็นอย่างสูง คนนึงดูจริงจัง คนนึงดูสบายๆ ถือว่า เป็นตัวละครที่ลงตัวกันทั้ง 2 คน มีเอกลักษณ์เด่นในตัว แต่ "Tina" อย่างกะมนุษย์เมียของพี่นิวท์ ตามติดซะแบบว่า แอบชอบก็บอก...

"Dan Fogler" รับบทเป็น "Jacob Kowalski" โน-แมจ ที่มาพร้อมกับความอารมณ์ขันตลอดทั้งเรื่อง ทั้งที่ไม่ใช่ตัวละครที่เป็นพระเอก เป็นแค่ตัวละครหลัก แต่ความแย่งซีนนี่มาเต็ม "Colin Farrell" รับบทเป็น "Percival Graves" คือไม่รู้จะว่ายังไงดี เป็นตัวละครที่เชื่อมโยงกับอีกตัวละครนึง แต่ทั้งเรื่องไม่ค่อยจะมีบทบาทอะไรเลย "Ezra Miller" ที่รับบท "Credence Barebone" พี่ Ezra ยังเด่นกว่าเยอะ ตัวละคร Credence ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดของเรื่อง สภาพเด็กเก็บกดนี่มาเต็มมาก แล้ว Ezra ดันตีบทแตกซะด้วย

และที่เป็นที่พูดกันมากในขณะนี้กับ "Johnny Depp" ที่รับบทเป็น "Gellert Grindelwald" ก็มีบทบาทในเรื่องนี้ด้วยเล็กน้อย ซึ่งยอมรับว่า หน้าพี่แกจิตมากกับการเป็นตัวร้าย ที่เป็นผู้สร้างความโกลาหลแห่งยุค ก่อนที่เฮีย "Voldemort" จะมางับตำแหน่งไปในภายหลัง เฮียจะมาปรากฎฉากไหนต้องไปดูกันเองครับ

- งาน CG มีทั้งจุดที่ดีและก็ไม่ดี จุดที่ดีก็คือ ภาพ 3D ถือว่าทำออกมาดีมาก ภาพสวยคมเลย เหมือนมีการนำเทคนิคใหม่เข้ามาใช้ด้วย ซึ่งถ้าดูเผินๆ ก็เหมือนว่าไม่เนียน แต่ส่วนตัวคิดว่า นำเทคนิคใหม่มาใช้นี่แหละครับ ส่วนจุดที่ไม่ดีก็จะเป็นตึกต่างๆ ในเมือง ที่อยู่ไกลๆ นี่แหละครับ พอมองออกว่าเป็น CG เลย แต่ถ้ามองว่าเพื่อความบันเทิง ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเรื่องแม้แต่น้อยครับ

- ด้านมุมภาพที่ช่วงเล่าเรื่อง ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้กำกับ "David Yates" ที่ไม่ค่อยมีอะไรให้หวือหวามากเท่าไรนัก แต่เหมือนงานนี้จะมีเทคนิค ลูกเล่นอะไรใหม่ๆ ใส่เข้ามาด้วย แต่ถือว่าโอเคดีครับ

- สำหรับเพลงประกอบก็ได้ "James Newton Howard" จาก "Batman Begins, The Dark Knight & The Hunger Games Film Series" มาประพันธ์เพลงให้ ซึ่งก็สร้างอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี ทำนองเพลงมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับ Harry Potter 

- IMAX 3D เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ 2 ของปีที่มี 3D Frame Break ซึ่งก็ถือว่า โอเคครับ ฉากสู้นี่ร้อง Wow! เลย แต่จังหวะที่ใส่มายังสู้ "Ghostbusters : Answer The Call" ไม่ได้ แล้วบางฉากที่ควรจะใส่ก็ไม่ใส่ด้วย แต่เรื่องระบบเสียงและภาพ ต้องยอมรับเลยว่า พอดูบนจอ IMAX แล้ว อลังการขึ้นเป็นเท่าตัว 3D Frame Break อาจจะไม่ดีมาก แต่ระบบเสียงและภาพ ยอมใจเลยครับ

สรุปถือว่าเป็นการเปิดโลกเวทมนตร์แห่งใหม่ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จริงจังมากขึ้น ผสมไปกับความฮาตลอดทั้งเรื่อง อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ชวนอยากให้ดูภาคต่อไป แนะนำให้รับชมในระบบ IMAX เพื่อเพิ่มความอลังการในการเปิดเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์ในครั้งนี้ครับ

Review By : T.J. @ T.J. MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา