ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : The Red Turtle

Review : The Red Turtle [10/2017]
Score : 9.25/10

"ภาพมีความสวยงาม สามารถผสานงานภาพในสไตล์ญี่ปุ่นกับยุโรปได้อย่างลงตัว
เป็นหนังที่ไม่มีบทพูดแต่สามารถเล่าเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม ควรค่าแก่ได้เข้าชิงออสการ์"


หลังจากห่างหายไปได้ซักระยะ ในที่สุดสตูดิโอแอนิเมชั่นเจ้าดังอย่าง "จิบลิ" ก็ได้กลับมาสร้างหนังอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับสตูดิโอของทางฝรั่งเศสในการสร้างหนังเรื่องนี้

เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ลอยไปติดเกาะ และพยายามที่จะออกจากเกาะโดยการสร้างแพ แต่ทุกครั้งที่จะออกจากเกาะก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้แพของเขาพังอยู่ร่ำไป โดยสาเหตุเกิดมาจากเต่าแดงตัวนึงที่ไม่ยอมให้เขาออกไปจากเกาะ เขาจึงต้องติดอยู่ที่เกาะแห่งนี้ อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับหญิงสาวที่เกาะแห่งนี้ จึงเกิดเป็นเรื่องราวความรักขึ้น และทำให้เขาตัดสินใจอยู่ที่เกาะแห่งนี้

หนังเรื่องนี้มีความแตกต่างจากแอนิเมชั่นจากญี่ปุ่นทั่วๆไป เพราะเราจะไม่ได้เห็นตัวละครที่น่ารัก ตาโต สวยใส อย่างในแอนิเมชั่นของญี่ปุ่น แต่จะใช้การออกแบบตังละครที่มีกลิ่นอายของความเป็นแอนิเมชั่นทางยุโรปอยู่พอตัว แต่ก็สามารถทำออกมาอยู่ในจุดกึ่งกลางที่พอดี ระหว่างความเป็นญี่ปุ่นกับยุโรป ซึ่งสวยงามมากๆ และนอกจากตัวละครแล้ว ภาพพื้นหลังก็สวยในขนาดที่ต้องบอกเลยว่า งามหยด!!

อย่างต่อมาที่เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้เลยก็คือ การที่ไม่มีบทพูด ตอนแรกที่ดู ผมยอมรับเลยว่ารู้สึกแปลกๆนิดหน่อย แต่ซักพักก็เริ่มชิน แล้วก็ไปได้ดีกับตัวหนัง และเข้าใจในสิ่งที่ตัวละครจะสื่อสาร ถึงแม้จะไม่มีบทพูดแต่หนังก็ยังสร้างอิมแพ็คได้อย่างมหาศาลเลยจริงๆ แต่การที่ไม่มีบทพูดก็เป็นจุดด้อยแบบเล็กๆด้วยเช่นกัน เพราะถ้าคนดูเป็นคนที่ชินกับการมีบทพูด อาจจะขัดใจเล็กน้อย แต่ถ้ามองข้ามไปได้หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องนึงที่คุณจะชอบอย่างแน่นอน

และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ตัวบทที่มีการปูตัวละครอย่างช้าๆ จนเราเข้าใจการกระทำของตัวละครทุกๆอย่าง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากๆจนจบเรื่อง แถมในเรื่องก็ไม่น่าเบื่อ เพราะมีทั้งตัวละครแย่งซีนให้ขำแบบเล็กน้อย และเหตุการณ์ที่ทำให้เราลุ้นกับพวกเขาไปทั้งเรื่อง

หนังเรื่องดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวง่ายๆ แต่จริงๆแล้ว หนังเรื่องนี้มีสารแฝงเข้ามาอยู่ภายในตัวหนังแบบลึกๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาแล้ว ยังไงก็ตามแต่มันย่อยยากพอสมควร จนบางทีคนดูทั่วไปอาจเข้าถึงได้ยากไปบ้าง ขนาดผมยังต้องตรึงตรองและหาข้อมูลอยู่นาน กว่าจะเข้าใจสารที่หนังต้องการจะสื่อ เพราะมันมีหลากหลายความหมายมาก ตั้งแต่การใช้ชีวิต การสอนใจ การให้กำลังใจ ฯลฯ ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละคนแล้วล่ะครับ เพราะแต่ละคนจะได้รับสารจากหนังเรื่องนี้ต่างๆกัน แต่ผมรับรองว่าต้องได้อะไรบางอย่างกลับไปจากหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ

โดยสรุปแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีทางเลือกนึงที่ไม่ควรพลาดถ้าคุณเป็นคอหนังพันธุ์แท้ เพราะผมรับประกันเลยว่าคุณจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยได้เห็นจากหนังเรื่องนี้แน่นอน และตัวหนังก็ไม่ยาวมากอยู่ในระดับที่พอดีๆที่จะไม่ทำให้เราเบื่อ แต่จะเสียดายที่มันจบเร็วไปแทน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา