ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : SULLY

Review : SULLY
Score : 9/10

"ประสบการณ์สำคัญกว่าการจำลองหรือคาดคะเน ฉากนำเครื่องบินลงจอดขนลุกมาก
ควรค่าแก่การดูบนระบบ IMAX"


เรื่องย่อ : Captain Chesley "Sully" Sullenberger ที่เคยสร้างปาฏิหาริย์ในการนำเครื่องบิน US Airways Flight 1549 ลงจอดกลางแม่น้ำฮัตสันหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเมื่อเครื่องบินลำนั้นต้องปะทะกับฝูงนกอย่างรุนแรงจนทำให้เครื่องขัดข้องเมื่อปี 2009 การตัดสินใจของเขาทำให้ผู้โดยสาร 155 ชีวิตพร้อมกับลูกเรือทั้งลำปลอดภัยจากอุบัติเหตุครั้งนั้น

- สำหรับเนื้อเรื่องก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ว่าจะได้เห็นอะไรในเรื่องจากที่ได้เห็นในตัวอย่าง แอบวางไทม์ไลน์การเดินเรื่องไว้ในหัวด้วย แต่พอมาดู คนล่ะแบบซะงั้นครับ ฮา (แต่เนื้อเรื่องก็ยังคงเป็นตามที่ตัวอย่างได้บอกเอาไว้)

เรื่องราวจะพูดถึงหลังจากเหตุการณ์ "ปาฎิหารย์แม่น้ำฮัดสัน" โดย Captain Chesley "Sully" Sullenberger และนักบินที่ 2 Jeff Skiles ได้ถูกสอบสวนภายในเพื่อหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่แม่น้ำฮัดสัน รวมไปถึงได้เห็นสภาพของ Sully ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ดังกล่าวว่าส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตเขาบ้าง

ใน 2 ส่วนทั้งการสืบหาความจริงและเกิดอะไรขึ้นกับ Sully ดูเป็นส่วนรองไปนิดนึง สำหรับการถ่ายทอดเนื้อหาออกมา ทั้งที่เป็นส่วนหลักของเรื่องราวที่เป็นจุดขายของเนื้อเรื่อง แต่ก็ยังถือว่าประคองไปได้จนจบ ได้เห็นว่า ทุกคนต่างยอมรับว่า Sully เป็นวีรบุรุษ แต่ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น เขามองว่าที่เขาทำไป เป็นเพราะหน้าที่ที่ควรจะทำ ไม่ได้ทำไปเป็นเพราะว่าอยากจะเป็นฮีโร่หรืออะไรทั้งสิ้น รวมไปถึงการถูกหลอกหลอนจากความคิดว่า ถ้าเขาตัดสินใจผิดพลาด ทำตามคำแนะนำของหอควบคุมการบิน เขาจะสามารถช่วยผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดได้หรือไม่?

ส่วนในด้านการสืบสวนหาความจริง จะได้เห็นแค่ในมุมมองของ Sully มากกว่า ไม่ค่อยจะได้เห็นการหาหลักฐานของทางฝั่งคณะกรรมการสืบสวนภายในสักเท่าไร แต่ตอนขึ้นศาลเพื่อหาข้อสรุปของเหตุการณ์ เป็นอะไรที่โดนใจมาก ซัดเงิบไปเลย เงิบยังไงต้องไปดูกันเองครับ

ส่วนฉากที่นำเครื่องบินลงจอดในแม่น้ำฮัดสัน เป็นฉากที่ถูกย้ำในเนื้อเรื่องเป็นช่วงๆ แต่จะมาย้ำเยอะในช่วงหลัง ซึ่งโดยปกติจะรู้สึกรำคาญไปเรียบร้อย เรื่องนี้แม้จะย้ำเหตุการณ์ แต่ว่า ทุกครั้งที่ย้ำ จะได้เห็นเหตุการณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ค่อยๆ หยอดเข้ามา รวมถึงได้เห็นจากมุมมองของคนอื่นที่อยู่ภายในเหตุการณ์เข้าไปอีก เลยทำให้ไม่มีความน่าเบื่อในการย้ำเหตุการณ์เลย และยังรู้สึกขนลุกมากยิ่งขึ้นไปอีก

จุดสำคัญจริงๆ ที่เรื่องนี้ต้องการจะสื่อมากกว่าสิ่งอื่นได้เลยก็คือ "ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่การคาดคะเนหรือการจำลองที่จะทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จเสมอไป" ซึ่งในปัจจุบันมนุษย์พึ่งพาเทคโนโลยีในการคิดวิเคราะห์หรือคำนวนความเสี่ยงเรื่องต่างๆ มากมาย จนถึงขั้นเชื่อด้วยว่า โปรแกรมพวกนี้ไม่มีทางผิดพลาดหรือบกพร่องแน่นอน พึ่งพาจนใช้ความคิดของตัวเราเองน้อยลง ทำให้การตัดสินใจนั้นเกิดข้อผิดพลาดตามมาได้

ถ้าจำไม่ผิดเคยมีหนังสักเรื่องนี่แหละ น่าจะหนัง A.I. ของ Spielberg ที่พูดถึงว่า จะนำหุ่นยนต์มาใช้แทนที่มนุษย์ในการทำเรื่องที่เป็นอันตรายแทน เพื่อลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้ประสบอุบัติเหตุ แต่หุ่นยนต์ไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ มีแต่การประมวลผล และทำในสิ่งที่เป็นด้านบวกมากกว่า เช่น มีคน 2 คน ประสบอุบัติเหตุ คนนึงมีโอกาสรอด 60% อีกคนแค่ 10% หุ่นยนต์ก็จะเลือกคนมีโอกาสรอดมากกว่า แต่ถ้าเป็นมนุษย์จะเลือก 10% มากกว่า 60% เพราะยิ่งมีโอกาสน้อยแค่ไหนต้องช่วยเหลือก่อน แต่ก็ไม่ทอดทิ้งคนที่มีโอกาสรอดมากกว่าอยู่ดี เป็นการบอกให้เห็นว่า ยังไงความรู้สึกนึกคิดก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญในเรื่องความปลอดภัยทั้งปวง และยิ่งบวกกับประสบการณ์เข้าไป ยิ่งทำให้โอกาสเพิ่มมากขึ้นไปอีก

ในส่วนของระบบเสียง ขอยกฉากสำคัญของเรื่องเลยก็คือ ฉากนำเครื่องบินลงจอดที่แม่น้ำฮัดสัน สำหรับโรงปกติที่ว่าเสียงมีความสมจริงมากในระดับนึงเลยครับ เสียงเครื่องยนต์ระเบิด เสียงเครื่องบิน เสียงตอนลงน้ำ ถือว่ามาเต็มครับ รู้สึกได้ว่าสะเทือนนิดๆ หน่อยๆ ในโรงด้วย

ส่วนในระบบ IMAX ก็จัดเต็มกว่าโรงปกติแน่นอนอยู่แล้ว พึ่งรู้แบบชัวร์ๆ เลยว่า นอกจากเรื่องนี้จะถ่ายทำด้วย IMAX Camera แล้ว ระบบเสียงก็เป็น IMAX ตั้งแต่ต้นเลย ไม่ได้มีการแปลงเสียงแต่อย่างใด เรียกได้ว่า ทุกขั้นตอนของเรื่อง ผ่านกระบวนการของ IMAX อย่างแท้จริงครับ มิน่าล่ะ ทำไมดูโรงปกติถึงได้รู้สึกความแน่นนิดๆ ในสไตล์ IMAX 

งานภาพ แอบรู้สึกไม่ชินกับที่ทั้งเรื่องเป็นสัดส่วน IMAX หมดเลย เพราะปกติจะเป็นสัดส่วนมาตรฐาน 2.4:1 แล้วค่อยตัดสลับมาเป็นสัดส่วน IMAX 1.9:1 แอบรู้สึกว่าเสน่ห์หายไปนิดๆ เหมือนดูหนังทั่วไปที่เป็น Full Frame 16:9 แต่มาฉาย IMAX ถึงจะเป็นแบบนั้น งานภาพก็ยังสวยเช่นเคย ตามสไตล์ผกก.Clint Eastwood และถือว่าคุ้มที่ได้เห็นสัดส่วนพิเศษเฉพาะ IMAX ด้วย

CG แอบรู้สึกไม่ค่อยเนียนนิดนึง แต่ถือว่าเก็บรายละเอียดโดยรวมได้โอเค พอๆ กับ "Deadpool" เลย ทำไมถึงยก "Deadpool" ขึ้นมา ก็เพราะว่า ทุนสร้างของ "Sully" อยู่ที่ 60 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าเพียง 2 ล้านเหรียญ แต่ก็ถือว่าเก็บรายละเอียดงานโดยรวมออกมาได้เป็นอย่างดี

โดยองค์รวมของด้านเนื้อเรื่อง ฉากนำเครื่องบินลงจอดที่แม่น้ำฮัดสัน นับว่าเป็นฉากที่ The Best ที่สุดในเรื่องแล้วจริงๆ ครับ การสืบสวนเป็นรองลงมา แต่ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพยนตร์ที่เล่าเหตุการณ์การสืบสวนภายในสักเท่าไรครับ แนะนำว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไปรับชมกันในระบบ IMAX คุ้มค่าตั๋วแน่นอนครับ

Review By : T.J. @ T.J. MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา