ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Review : Deepwater Horizon

Review : Deepwater Horizon
Score : 8/10

"บีบหัวใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระเบิด ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง
เพราะความโลภและขาดความรอบคอบ ก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด"


เรื่องย่อ : ภาพยนตร์มหันตภัยฟอร์มยักษ์ ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของเหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันระเบิดครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ความกล้าหาญของเหล่าบรรดาคนงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบชื่อว่า "Deepwater Horizon" ในอ่าวเม็กซิโกเมื่อปี 2010 ที่ต้องพยายามเอาชีวิตทั้งของตนเองและพวกพ้องให้รอดจากมหันตภัยครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็น การรั่วไหลนอกชายฝั่งครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา


- ในด้านเนื้อเรื่อง กลับมาเล่าด้วยวิธีการเล่าเรื่องแบบเดิมตามสไตล์หนังสร้างจากเรื่องจริง หลังจากที่ Sully จะใช้วิธีตัดสลับเหตุการณ์ปัจจุบันและอดีตย้อนไปมา

- เนื้อเรื่องจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ ซึ่งเพราะการขาดความรอบคอบและความโลภที่เข้าครอบงำ ก่อนที่จะก่อให้เกิดการระเบิดแท่นขุดเจาะน้ำมันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเราจะได้เห็นอากัปกิริยาแทบทุกอย่างที่ส่อให้เห็นถึงความสะเพร่า ขาดความรอบคอบ หวังแต่เงินที่ทางบริษัทหยิบยื่นมาให้ ซึ่งเป็นการปูทางมาถึงเหตุการณ์หลักหรือหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเรื่องได้โอเคเลย

ในช่วงระหว่างการเอาตัวรอด เป็นช่วงที่บีบหัวใจและลุ้นระทึกมาก ยิ่งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงระเบิด ยิ่งรู้สีกเอาใจช่วยตัวละครอยากให้รอดออกมาจากตรงนั้นได้ ซึ่งถือว่าในพาร์ทเอาตัวรอดทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวครับ ส่วนพาร์ทดราม่าครอบครัวที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ค่อยเน้นมากสักเท่าไร แต่ฉากสุดท้ายหลังจากที่รอดมาแล้ว อันนี้คือรู้สึกว่ามีพลังที่อยากจะร้องไห้ตามจริงๆ เพราะเราเป็นห่วงคนที่เรารัก และอยากให้รอดกลับมาได้

และจากที่ดูทุกตัวละครในเรื่องก็ไม่ได้มีใครเด่นไปกว่าใครมาสักเท่าไร "Mark Wahlberg & Dylan O'Brian" ก็ดูจะเด่นบ้างในหลายๆ ฉาก แต่ถ้ามองในภาพรวมทั้งเรื่องทุกตัวละครก็เด่นเท่าๆ กัน ต่างฝ่ายต่างก็พยายามที่จะช่วยเหลือและหาทางให้รอดพ้นไปจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

- เพลงประกอบช่วยสร้างอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ได้พอตัว แต่ที่สร้างอารมณ์ร่วมได้แบบสุดๆ ก็คือเสียงระเบิดนี่แหละครับ นั่งแทบไม่ติดเบาะเลยจริงๆ

- งาน CG ถือว่าเก็บรายละเอียดออกมาได้ดีเลยทีเดียว คุ้มทุนสร้าง 156 ล้านดอลลาร์พอตัว ฉากที่ใช้ CG ก็ไม่ได้มีเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่จะลงไปกับฉากแท่นขุดเจาะน้ำมันที่สร้างขึ้นมา ซึ่งเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ เลย

- สำหรับนักแสดงนำในเรื่องอย่าง "Mark Wahlberg" ก็ถือว่าเล่นออกมาได้ดี โดยเฉพาะตอนที่พูดว่า "I will see them again. Do you understand me? (ผมต้องได้เจอพวกเขาอีก คุณเข้าใจผมใช่ไหม?)" ตอนฟังในตัวอย่างก็รู้สึกขนลุกแล้ว พอมาดูในโรงจริงๆ รู้สึกเลยว่า ตัวละครนี้พร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อกลับไปหาครอบครัวจริงๆ ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ "Kurt Russel, Dylan O'Brian, Gina Rodriguez" ก็เข้ามาเติมเต็มในส่วนการแสดงของ Mark ทำให้รู้สึกว่า ทุกตัวละครเด่นเท่าๆ กันหมด และพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเพื่อฝ่าวิกฤตนี้ไปให้ได้

โดยรวมถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สามารถสร้างความลุ้นระทึก เอาใจช่วยตัวละครให้รอดพ้นจากสถานการณ์นี้ออกมาให้ได้ และยังเป็นการเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังของเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่สร้างความสลดใจได้ไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน ยังไงก็อยากแนะนำให้ไปรับชมกันครับ

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณบัตรชมภาพยนตร์รอบพิเศษจากทาง Mongkol Major ด้วยครับ

Review By : T.J. @ T.J. MOVIE REVIEW

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างแรกและนักแสดงทั้งหมดในภาพยนตร์ Saiki Kusuo no Sainan ฉบับ Live Action

หลังจากประกาศสร้างมาตั้งปี 2015 ก็ได้มีการปล่อยตัวอย่างแรกพร้อมเหล่านักแสดงออกมาทั้งหมดแล้ว ตัวอย่างภาพยนตร์ - https://www.youtube.com/watch?v=4tCACKYolrs&t=0s และมีนักแสดงดังต่อไปนี้

"โกไคเจอร์" กลับมาครบทีม ร่วมฉลองซูเปอร์เซนไตซีรี่ส์ครบ 2,000 ตอน

นับตั้งแต่  "ขบวนการ ห้าจอมพิฆาต โกเรนเจอร์"  ได้ออกฉายตั้งแต่วันที่  4 เมษายน 1975  มาจนถึงขบวนการล่าสุด  "ขบวนการ ราชันย์สรรพสัตว์ จูโอเจอร์"  ซึ่งในวันที่  11 กันยายน  ก็จะฉายครบ  2,000 ตอน พอดี ในตอนที่  28-29   (ฉายวันที่ 4 และ 11 ก.ย.)  จึงได้มีตอนพิเศษขึ้นฉลอง โดยตอนพิเศษทั้ง  2  ตอน จะได้นักแสดงจาก  "ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์"  กลับมาแบบครบทีม ในรอบ  3 ปีครึ่ง  หลังจากภาพยนตร์  "ขบวนการ จารชน โกบัสเตอร์ ปะทะ ขบวนการ โจรสลัด โกไคเจอร์ เดอะมูฟวี่"

掟上今日子の備忘録。(Okitegami Kyoko no Biboroku) สมุดบันทึกความทรงจำของ โอคิเตะงามิ เคียวโกะ

            ก่อนจะเริ่มต้นวิจารณ์หรือวิเคราะห์ดีล่ะ เลือกไม่ถูก ถ้างั้นใช้เป็นว่า วิเคราะห์ น่าจะเหมาะสมที่สุดล่ะ ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตามดูซีรี่ส์จากทางฝั่งญี่ปุ่นมานานมากประมาณเกือบ 3 ปีได้ หลังจากซีรี่ส์ “Ando Lloyd - A.I. Knows Love ?” แล้วช่วงนี้ประจวบเหมาะกับไม่มีอะไรดู (เหรอ ? ) เลยลองมานั่งหาซีรี่ส์จากทางญี่ปุ่นดูบ้าง เปลี่ยนแนวจากที่ปกติเดิมจะดูแต่ซีรี่ส์ภาพยนตร์จากทางอเมริกาซะส่วนใหญ่ และ Okitegami Kyoko no Biboroku. เพื่อนก็แนะนำมาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วก่อนซีรี่ส์จะจบด้วยซ้ำ (ตอนนั้น ฉายไป 8 ตอน ซีรี่ส์มีทั้งหมด 10 ตอน) เขาดูกันไปจะเกือบปีล่ะ ตัวเองพึ่งจะมานั่งดู หยิบขึ้นมาดูเท่านั้นแหละ กลายเป็นติดใจจนเลิกดูไม่ได้ นั่งดูอยู่บนห้องมันทั้งวันนี่แหละครับ ฮา